Apple Watch Series 4 และ watchOS 5 มาพร้อมฟีเจอร์กิจกรรมและการสื่อสารขั้นสูง พร้อมด้วยความสามารถด้านสุขภาพล้ำสมัยมากมาย รวมถึงอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและไจโรสโคปแบบใหม่ซึ่งสามารถตรวจจับการล้มอย่างรุนแรง และเซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบไฟฟ้าที่สามารถวัดคลื่นหัวใจ (ECG)ได้ ด้วยแอพ ECG ใหม่ ซึ่งผ่านการรับรองมาตรฐาน De Novo จาก FDA (คณะกรรมการอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา) เรียบร้อยแล้ว
Apple Watch มีตัวเรือนให้เลือก 2 ขนาด ได้แก่ 40 มม. และ 44 มม. ลำโพงดังขึ้น 50 เปอร์เซ็นต์ ปรับแต่งมาเพื่อการโทร การใช้ Siri และวอล์คกี้ทอล์คกี้ รวมถึงย้ายตำแหน่งไมโครโฟนเพื่อลดเสียงสะท้อนและมอบคุณภาพเสียงที่ดียิ่งขึ้น Apple Watch Series 4 มาพร้อมชิพ S4 เจเนอเรชั่นถัดไปที่มีโปรเซสเซอร์ 64 บิตแบบ Dual-core
ด้านหลังทำมาจากเซรามิกสีดำสุดหรูและผลึกแซฟไฟร์ ที่ช่วยให้การส่งผ่านคลื่นวิทยุระหว่างด้านหน้าและหลังดีขึ้นกว่าเดิม จึงส่งผลให้การใช้งานระบบเซลลูลาร์ลื่นไหลมากขึ้น ปุ่ม Digital Crown ตอบสนองแบบสั่นได้แล้ว จึงให้ความรู้สึกที่มีความเป็นกลไกมากขึ้นและรวดเร็วฉับไวยิ่งขึ้น
อินเทอร์เฟซปรับมาให้เหมาะกับจอแสดงผลที่ใหญ่ขึ้น เพิ่มชุดหน้าปัดนาฬิกาแบบเคลื่อนไหวได้ ซึ่งประกอบด้วยไอระเหย โลหะเหลว ไฟ และน้ำ ที่ตอบสนองอย่างมีเอกลักษณ์ตามความโค้งมนของตัวเรือน
Apple Watch Series 4 เป็นครั้งแรกที่เปิดให้ผู้ใช้อ่านค่าคลื่นไฟฟ้าหัวใจได้จากบนข้อมือโดยตรง โดยอาศัยประโยชน์จากการเพิ่มขั้วไฟฟ้าลงในปุ่ม Digital Crown และเซ็นเซอร์วัดหัวใจแบบไฟฟ้าตัวใหม่ที่ใส่ไว้ในฝาครอบแซฟไฟร์ด้านหลัง เพียงสัมผัสปุ่ม Digital Crown แค่ 30 วินาที แอพก็จะแสดงผลวิเคราะห์การเต้นของหัวใจได้ แอพสามารถวิเคราะห์ได้ว่าการเต้นของหัวใจของผู้ใช้อยู่ในภาวะปกติ หรือมีสัญญาณผิดปกติเกี่ยวกับภาวะหัวใจห้องบนสั่นพลิ้ว (AFib) ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพที่ซับซ้อนได้ การตรวจบันทึก การวินิจฉัย และข้อมูลทั้งหมดที่เกี่ยวกับอาการจะถูกเก็บรวบรวมไว้ในแอพสุขภาพในรูปแบบ PDF ซึ่งสามารถแชร์กับแพทย์ได้
watchOS 5 ทำให้ Apple Watch วิเคราะห์จังหวะการเต้นของหัวใจได้เป็นช่วงๆ อยู่เบื้องหลังและจะส่งการแจ้งเตือนหากจังหวะการเต้นของหัวใจผิดปกติซึ่งอาจเป็นผลมาจาก AFib3 นอกจากนี้ Apple Watch จะแจ้งเตือนหากอัตราการเต้นของหัวใจช้าหรือเร็วกว่าเกณฑ์ที่ระบุไว้
การตรวจจับการล้มใช้ประโยชน์จากอุปกรณ์ตรวจจับการเคลื่อนไหวและไจโรสโคปเจเนอเรชั่นใหม่ ซึ่งสามารถวัดการล้มได้สูงสุด 32 แรงจี พร้อมกับระบุการล้มที่มีความรุนแรงด้วยอัลกอริธึ่มแบบปรับแต่งได้ Apple Watch สามารถวิเคราะห์วิถีการเคลื่อนที่จากบนข้อมือและความเร่งที่ทำให้เกิดแรงกระแทก จึงสามารถส่งการแจ้งเตือนหาผู้ใช้หลังการล้มได้ ซึ่งผู้ใช้สามารถปิดทิ้งหรือเลือกโทรหาบริการช่วยเหลือฉุกเฉินได้ทันที หาก Apple Watch ตรวจพบว่าไม่มีการเคลื่อนไหวเป็นเวลา 60 วินาทีหลังมีการแจ้ง
เตือน Apple Watch จะโทรหาบริการฉุกเฉินโดยอัตโนมัติและส่งข้อความพร้อมระบุตำแหน่งไปยังผู้ติดต่อฉุกเฉินของคุณ เรียกได้ว่า Apple Watch คืออุปกรณ์ชิ้นเดียวที่ใกล้ชิดคุณและพร้อมช่วยชีวิตคุณทันทีที่เกิดล้ม หรือสลบไป
Apple Watch Series 4 เริ่มจำหน่ายในประเทศกลุ่มแรกในวันที่ 21 กันยายน 2018 นี้ ส่วนประเทศไทยรอประกาศจาก Apple และตัวแทนจำหน่ายอีกครั้ง
ข้อมูลจาก Apple
ขอบคุณที่มา https://www.it24hrs.com/2018/apple-watch-series-4/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น