Vivo เปิดตัวเทคโนโลยี “Dual Wi-Fi Acceleration” เชื่อม Wi-Fi ได้ 2 เครือข่ายในเวลาเดียวกัน

          ที่ผ่านมา Vivo ได้บุกเบิกและเปิดตัวฟีเจอร์ใหม่ ๆ มามากมาย ไม่ว่าจะเป็นหน้าจอแบบเต็มจอ กล้องแบบพอปอัป เซนเซอร์สแกนลายนิ้วมือใต้จอ และอื่น ๆ อีกมากมาย ล่าสุด Vivo เปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ “Dual Wi-Fi Acceleration”

          ด้วยเทคโนโลยี Dual Wi-Fi Acceleration นี้ ผู้ใช้จะสามารถเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้ถึง 2 เครือข่ายในเวลาเดียวกัน ซึ่งจุดประสงค์เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ในการท่องโลกอินเตอร์เน็ต รวมถึงเกมต่าง ๆ ให้เร็วขึ้น และลื่นไหลมากยิ่งขึ้น โดยจะสามารถใช้ได้ทั้งบนคลื่น 2.4 GHz และ 5 GHz

          ในการเชื่อมต่อนั้นง่าย ๆ เพียงเปิดใช้งานฟีเจอร์ “Dual Wi-Fi Acceleration” ในหน้าการตั้งค่า และสามารถเลือกเชื่อมต่อ Wi-Fi ได้เลย 2 เครือข่าย

          ในตอนนี้เป็นเพียงแค่การเปิดตัวเทคโนโลยีใหม่ และยังไม่มีรายละเอียดออกมาว่าฟีเจอร์นี้จะถูกนำมาใช้ในรุ่นไหน

ที่มา : ITHomeGizmochin , https://www.beartai.com/news/itnews/344377

สาวกยังท้อ แฟนตัวยงของ Apple หนี iPhone ไปใช้อย่างอื่นกันมากขึ้น!

             สื่อต่างประเทศรายงานว่า ความภักดีต่อแบรนด์ หรือที่เราคุ้น ๆ กันดีว่า Brand Loyalty ของ Apple ตอนนี้อาจจะกำลังเริ่มแย่ลง จากตัวเลขเผยว่าความภักดีต่อแบรนด์ของ Apple นั้นลดลงมาถึงจุดต่ำสุดนับตั้งแต่ปี 2011 เลยล่ะครับ

             CNET รายงานว่า จากสถิติผู้ใช้งานราว 38,000 คนที่ซื้อ-ขาย iPhone เมื่อเดือนตุลาคมปี 2018 มี 73% ที่เลือกซื้อ iPhone รุ่นใหม่ ซึ่งความภักดีของแบรนด์ในจุดสูงสุดคือปี 2017 ที่ 93% เมื่อเทียบกับปีนี้เหลือ 77.8% หายไปราว 15.2% เลยทีเดียว และ 26% ของผู้ใช้งาน iPhone X เดิม เลือกเปลี่ยนไปใช้แบรนด์อื่นแทน

             ยกตัวอย่าง ผู้ใช้งานแบรนด์อื่นอย่าง Galaxy S9 เลือกเปลี่ยนมาใช้งาน iPhone เพียง 7.7% ในขณะที่ผู้ใช้งาน iPhone เดิม เปลี่ยนไปใช้งาน Samsung สูงถึง 18%

             จากตัวเลขดังกล่าวนั่นหมายความว่า iPhone น่าสนใจน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด และดูเหมือนว่าโปรแกรมต่าง ๆ เช่นโปรแกรม Trade-in iPhone อาจจะไม่ได้ช่วยเร่งยอดขายให้มากขึ้นเลย

 

อ้างอิง

 ข้อมูล : https://www.beartai.com/news/mobilenews/344436

พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส

เตรียมจ่ายเงินเยียวยา 99.8 ล้าน ประมงพื้นบ้านประสบเหตุพายุ ‘ปาบึก’

              นายอดิศร พร้อมเทพ อธิบดีกรมประมง กล่าวว่า จากกรณีเหตุภัยพิบัติพายุโซนร้อน “ปาบึก” พัดถล่มหลายพื้นที่ของประเทศไทยโดยเฉพาะบริเวณเขตชายฝั่ง 22 จังหวัด เมื่อช่วงต้นปี 2562 ที่ผ่านมา ส่งผลให้ชาวประมงพื้นบ้านได้รับกระทบอย่างหนัก ไม่สามารถประกอบอาชีพได้ตามปกติ เนื่องจากเครื่องมือประมงได้รับความเสียหาย อีกทั้งที่อยู่อาศัยของสัตว์น้ำถูกทำลาย โดยเฉพาะแนวปะการังน้ำตื้นและปะการังเทียมได้ถูกคลื่นซัดกระหน่ำจนเกิดการเปลี่ยนแปลง ส่งผลให้ความชุกชุมของชนิดและปริมาณสัตว์น้ำที่อยู่บริเวณชายฝั่งลดลง จนเป็นสาเหตุให้ชาวประมงพื้นบ้านต้องออกไปทำการประมงไกลฝั่ง มีค่าใช้จ่ายในการทำประมงสูงขึ้น ใช้เวลานานขึ้นและมีความเสี่ยงภัยมากขึ้น

              กรมประมง กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ ในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่โดยตรงในการปกป้อง คุ้มครอง และให้ความช่วยเหลือ หรือสนับสนุนกลุ่มชาวประมงพื้นบ้านและชุมชนประมงท้องถิ่น จึงได้จัดทำโครงการพัฒนาอาชีพและเสริมสร้างความเข้มแข็งของชุมชนประมงพื้นบ้านขึ้น

              ล่าสุดได้รับอนุมัติงบประมาณจำนวน 99,800,000 ล้านบาท เพื่อช่วยเหลือชาวประมงพื้นบ้าน 65 ชุมชน ในพื้นที่ 3 จังหวัด ได้แก่ นครศรีธรรมราช สงขลา และปัตตานี

              กรมประมงจะทำการจ่ายเงินดังกล่าว เพื่อให้องค์กรชุมชนประมงท้องถิ่นทั้ง 65 แห่ง ได้นำไปพัฒนาอาชีพและเสริมสร้างความเข้มแข็งตามความต้องการของชุมชนภายในเดือนสิงหาคม 2562 นี้

              นอกจากนี้ กรมประมง วางเป้าหมายการพัฒนาอาชีพและเสริมสร้างความเข้มแข็งให้ครอบคลุมองค์กรชุมชนประมงพื้นบ้านในพื้นที่ทั้ง 22 จังหวัดชายทะเล รวมทั้งสิ้น 467 ชุมชน ภายในปี 2564

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : https://news.mthai.com/general-news/746128.html

ดีเดย์ 29 ก.ค.นั่งฟรีรถไฟฟ้าช่วงหัวลำโพง-ท่าพระ รวม 5 สถานี

Thai Quote
สนับสนุนเนื้อหา

           รฟม.เตรียมเปิดให้บริการรถไฟฟ้าสายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-ท่าพระ 29 ก.ค. นี้ ใช้ฟรี 5 สถานียาว 3 เดือน เผยสถานีสนามไชยสวยสุด ใครอยากถ่ายรูปของดขาตั้งกล้อง

           นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย(รฟม.) และ นายสมบัติ กิจจาลักษณ์ กรรมการผู้จัดการบริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด(มหาชน) หรือ BEM นำคณะผู้บริหารแถลงข่าวการทดลองเดินรถไฟฟ้า โครงการสายสีน้ำเงิน ช่วงหัวลำโพง-บางแค ที่ชั้นจำหน่ายตั๋ว สถานีสนามไชย พร้อมนำคณะผู้บริหารและสื่อมวลชนร่วมทดลองนั่งรถไฟฟ้า ไป-กลับ จากสถานีสนามไชย ไปยังสถานีท่าพระ

           นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการ รฟม. ระบุว่า การเปิดให้ประชาชนทดลองใช้รถไฟฟ้าส่วนต่อขยายนี้ก็ถือว่าเป็นการเฉลิมฉลองเนื่องในวโรกาส พระราชพิธีราชาภิเษกของในหลวงรัชกาลที่ 10 โดยช่วงแรกจะเปิดให้ทดลองใช้ทั้งหมด 5 สถานีโดยไม่เก็บค่าบริการ และถ้าหากผลการทดลองเป็นที่น่าพอใจก็จะมีการขยายการให้บริการไปจนถึงสถานีหลักสอง

           สำหรับการเปิดให้ประชาชนทดลองโดยสารฟรี ตั้งแต่วันที่ 29 กรกฎาคมไปจนถึงวันที่ 28 กันยายน 2562 ในช่วงแรกจะเปิดให้บริการทุกวันตั้งแต่เวลา 10.00 – 16.00 น. โดยให้บริการแบบวิ่งไปกลับจากสถานีหัวลำโพงถึงสถานีท่าพระ มีรถไฟฟ้าให้บริการทั้งหมด 3 ขบวนระยะห่างระหว่างขบวนประมาณ 8 นาที

           สำหรับผู้โดยสารที่เดินทางจากสถานีเตาปูนมาจนถึงสถานีหัวลำโพงและต้องการจะเดินทางต่อมายังส่วนต่อขยายที่มีการทดลองเปิดให้บริการจำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนขบวนรถไฟฟ้าที่สถานีหัวลำโพง

           ซึ่งการที่มีการเปิดให้บริการ 5 สถานีและสาเหตุการให้บริการจากสายสีน้ำเงินเดิมเพราะเนื่องจากต้องการทดสอบระบบเพื่อให้เกิดความมั่นใจว่าระบบอาณัติสัญญาณจะไม่ขัดข้องกับระบบสัญญาณเดิม และเมื่อถึงวันที่ 29 กันยายนเชื่อว่าระบบทั้งหมดจะสามารถดำเนินการได้อย่างเต็มรูปแบบและประชาชนไม่จำเป็นที่จะต้องเปลี่ยนขบวนที่สถานีหัวลำโพงอีก

           ทั้งนี้ หากผู้โดยสารจากสถานีส่วนต่อขยายจะเดินทางมายังรถไฟฟ้าของ MRT จะมีการคิดค่าโดยสารตามปกติโดยสายสีน้ำเงินสถานีแรกอัตรา 16 บาทและสูงสุดอยู่ที่ 42 บาท ขณะที่หากผู้โดยสารต้องการจะเดินทางจากส่วนต่อขยายไปยังสายสีม่วงจะมีค่าโดยสารอัตราสูงสุดอยู่ที่ 70 บาท และผู้โดยสารจะอยู่ในระบบรถไฟฟ้าได้ไม่เกิน 180 นาที หรือเป็นระยะเวลา 3 ชั่วโมง ซึ่งการออกตั๋วโดยสารและการใช้ระบบรถไฟฟ้าเป็นไปตามเงื่อนไขที่ BM กำหนด และบัตรรถไฟฟ้าแบบเติมเงินก็สามารถที่จะแตะเข้าระบบได้ทันที 

           สำหรับสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินสนามไชย เป็นสถานีรถไฟฟ้าที่สวยที่สุด โดยออกแบบให้เหมือนกับพระราชวังในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ขณะที่สถานีอิสรภาพเป็นสถานีรถไฟใต้ดินแห่งแรกในฝั่งธน โดยรถไฟฟ้า MRT สายสีน้ำเงินส่วนต่อขยายสถานีหัวลำโพงถึงสถานีหลักสองมีระยะทาง 14 กิโลเมตร แบ่งเป็น สถานียกระดับทั้งหมด 7 สถานีและ 4 สถานีรถไฟใต้ดิน ที่ตกแต่งสวยงามและมีความโดดเด่น ไปสถานีสามยอดเป็นสถานีที่บอกเล่าเรื่องราวในอดีต ไม่ว่าจะเป็นสถานที่ต่างๆ ด้วยภาพเก่าตั้งแต่สมัย ร.5 รวมทั้งใกล้ย่านพาหุรัด เมกาพลาซ่า สำหรับในจุดนี้เป็นจุดที่มีการสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินลอดใต้แม่น้ำเจ้าพระยา แล้วในไตรมาสที่ 1 ปี 2563 จะเปิดให้บริการสถานีรถไฟฟ้าเตาปูนถึงสถานีท่าพระซึ่งเป็นสถานียกระดับ 8 สถานี

           นายภคพงศ์ ศิริกันทรมาศ ผู้ว่าการการ รฟม. ความร่วมมือพี่น้องประชาชนที่จะเข้ามาเก็บภาพสถานีรถไฟฟ้าที่มีการตกแต่งและประดับให้สวยงามสามารถใช้กล้องระดับมืออาชีพหรือกล้องมือถือได้แต่งดใช้ขาตั้งกล้องรวมถึงงดสร้างความไม่สะดวกให้กับผู้โดยสารอื่นๆรวมถึงงดการสัมผัสวัสดุตกแต่งสถานีโดยตรง

           ทั้งนี้ ขอความกรุณางดการถ่ายภาพภายในสถานีเพื่อการค้าอื่นๆ ซึ่งหากต้องการที่จะถ่ายภาพเพื่อการค้า ขอความกรุณาแจ้งทาง BEM ก่อน เพื่อให้ดำเนินการต่อไป

           สำหรับการประเมินผู้โดยสารในส่วนต่อขยายที่จะเปิดให้บริการ เฉพาะส่วนต่อขยายจะมีผู้โดยสารประมาณ 4 แสนคนและสายสีน้ำเงินเดิมก็จะมีผู้โดยสารอีกประมาณ 4 แสนคน และเชื่อว่าผู้โดยสารอาจต้องมีการปรับตัวสักระยะหนึ่งเพื่อให้ชินกับการคุ้นเคยกับใช้ระบบรถไฟฟ้าในการเดินทาง ซึ่งในเวลาปกติอาจต้องใช้เวลา 6 เดือนถึง 1 ปีในการปรับตัวของผู้โดยสาร เพราะฉะนั้นในช่วงแรกขอให้ทุกฝ่ายไม่ต้องกังวลหากผู้โดยสารน้อย สำหรับจำนวนผู้โดยสารที่จะเข้ามาใช้บริการในช่วงเชื่อมต่อระหว่างสถานีรถไฟฟ้า BTS บางหว้า มายัง สถานีบางหว้าของ MRT เชื่อว่าจะมีผู้โดยสารเข้ามาใช้บริการเพิ่มมากขึ้นอีก

           สำหรับปัจจุบัน บัตรโดยสารร่วมระหว่างระบบขนส่งมวลชนทางรางต่างๆ กำลังอยู่ในขั้นตอนที่คัดเลือกสถาบันทางการเงินเข้ามาเป็นตัวกลางในการจัดสรรอัตราค่าโดยสารและแบ่งค่าโดยสารให้กับผู้ให้บริการรายต่างๆ

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : https://www.sanook.com/news/7839118/

ราศีใดในช่วงนี้ จะถูกคนรักปล่อยให้เหงาใจ

ราศีใดในช่วงนี้ จะถูกคนรักปล่อยให้เหงาใจ
 
S! Horoscope (Exclusive)
สนับสนุนเนื้อหา

           ดวงความรักรายสัปดาห์ ราศีใดในช่วงนี้จะถูกคนรักปล่อยให้เหงาใจ คำทำนายมีผลตั้งแต่ 23 - 30 กรกฎาคม 2562

           ช่วงนี้ผู้ที่มีเกณฑ์จะถูกคนรักปล่อยให้เหงาใจ ได้แก่ ชาวราศีมังกร (22 ธ.ค. – 21 ม.ค.)

           ชาวราศีมังกรเป็นผู้ซึ่งเปี่ยมด้วยอุดมการณ์ ทุ่มเทด้านความรัก และขยันทำมาหากิน ข้อดีเหล่านี้ล้วนเป็นที่ประจักษ์ ทำให้เป็นที่รักและนิยมชมชอบ แต่ด้วยอิทธิพลของดาวเสาร์ที่ส่งผลด้านลบต่อดวงชะตาด้านความรักในช่วงนี้ ทำให้ชาวราศีมังกรอาจพบสถานการณ์ที่คนรักหรือคนที่ตนเองหมายปองอยู่ทำตัวห่างเหิน ทอดทิ้งให้อ้างว้าง เหงาใจ ไม่ว่าจะด้วยเพราะหน้าที่การงานที่รัดตัว หรือเพราะหัวใจของเขา/เธอที่แปรเปลี่ยนไป

           แนะนำว่าช่วงนี้ชาวราศีมังกรควรปล่อยวางด้านความรักเอาไว้ก่อน อย่าคิดมากจนเกินไป เอาเวลาไปทุ่มเทให้ชีวิตด้านการเรียน หรือการงาน มุ่งพัฒนาความสามารถ สะสมประสบการณ์ทางด้านต่างๆ เพราะนอกจากจะช่วยให้คลายเหงาใจแล้วยังเป็นการสร้างคุณค่าให้ชีวิตตนเองอีกด้วย

 

"สลัดผัก" กับสิ่งที่ควรเลี่ยงหากอยากกินเพื่อสุขภาพดี

Hello Khun Mor
สนับสนุนเนื้อหา

           เมื่อพูดถึงอาหารสุขภาพ สิ่งแรกที่หลายคนนึกถึงคงหนีไม่พ้นเมนู สลัด เพราะหาซื้อได้ง่าย จะทำเองก็ไม่ยาก สามารถเลือกใช้วัตถุดิบได้หลากหลายตามความชอบของแต่ละคน สลัดจึงกลายเป็นเมนูที่คนรักสุขภาพ โดยเฉพาะคนที่กำลังควบคุมน้ำหนักเลือกกิน แต่บางคนแม้จะกินสลัดแทบทุกมื้อ น้ำหนักก็ยังไม่ลดลง นั่นเพราะคุณมองข้ามสิ่งสำคัญอย่างส่วนประกอบในสลัดของคุณไป ฉะนั้น หากอยากกินสลัดให้ได้ประโยชน์ ดีต่อสุขภาพจริง ควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้เสีย

           1. กินโปรตีนมากหรือน้อยเกินไป

           โปรตีนเป็นสารอาหารที่คุณไม่ควรมองข้ามเมื่อกินสลัด เพราะนอกจากจะช่วยให้อิ่มท้องนานขึ้น ยังมีประโยชน์อีกมากมาย เช่น ช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อ กระตุ้นการเผาผลาญ บำรุงผิวและผม แต่หากกินโปรตีนมากหรือน้อยเกินไปก็อาจทำให้เกิดปัญหาสุขภาพได้ กินน้อยเกินไปอาจทำให้ร่างกายสูญเสียมวลกล้ามเนื้อ ปวดข้อ มีภาวะความดันต่ำ กินมากไปอาจทำให้มีภาวะขาดน้ำ คลื่นไส้ ปวดศีรษะ ท้องเสีย เพิ่มความเสี่ยงโรคมะเร็ง เป็นต้น

           2. กินผักไม่หลากหลาย

           ผักสลัดยอดนิยมอย่างผักกาดแก้ว (iceberg lettuce) มีน้ำเป็นส่วนประกอบหลัก แต่มีสารอาหารอื่นน้อยมาก เมื่อเทียบกับผักใบเขียวเข้ม เช่น ปวยเล้ง เคล หรือผักกาดชนิดอื่นๆ อย่าง ผักกาดโรเมน ผักกาดหอม ผักกาดหอมใบแดง ผักกาดหอมบัตเตอร์เฮด ที่อุดมไปด้วย โฟเลต วิตามินเอ วิตามิน เค และไฟโตนิวเทรียนท์ สลัดที่ดีจึงควรใส่ผักให้หลากหลายชนิด เพราะการกินผักชนิดเดียว หรือสีเดียว อาจทำให้คุณได้สารอาหารไม่ครบถ้วน หรือได้รับสารอาหารอย่างใดอย่างหนึ่งมากเกินไป ทั้งยังมีผลการศึกษาที่ระบุว่าผู้ที่กินผักหลากหลายกว่ามีความเสี่ยงเกิดโรคมะเร็งปอดน้อยกว่าด้วย

           3. ใส่ขนมปังกรอบจนพูนจาน

           อีกหนึ่งส่วนประกอบที่ขาดไม่ได้บนจานสลัดของใครหลายคนก็คือ ขนมปังกรอบ ของอร่อยที่ทำลายสุขภาพ เพราะอุดมไปด้วยไขมัน คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี แถมยังมีแคลอรีสูง ขนมปังกรอบ 5 ชิ้น ให้พลังงานประมาณ 30 กิโลแคลอรี และหากเป็นขนมปังกรอบเคลือบชีส หรือเนย อาจให้พลังงานมากกว่านี้ถึง 2 เท่าเลยทีเดียว หากอยากได้ความกรุบกรอบ ควรเปลี่ยนมาเติมถั่วหรือธัญพืชแทน เช่น วอลนัต ถั่วเหลืองคั่วกรอบ เพราะอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ที่ดีต่อหัวใจและระบบประสาท รวมถึงไฟเบอร์ที่ช่วยเรื่องระบบย่อยอาหารอีกด้วย

           4. เติมชีสใน สลัด มากไป

           ชีสอุดมไปด้วยแคลเซียมและโปรตีน แต่ก็มีโซเดียม ไขมันอิ่มตัว และแคลอรีสูง การกินแต่ละครั้งจึงไม่ควรเกิน 1-1.5 ออนซ์ (ประมาณ 28-43 กรัม) หรือประมาณลูกเต๋า 2 ลูก และควรเลือกเป็นชีสแบบแข็ง เช่น พาร์มีซานชีส ชีสไขมันต่ำ หรือชีสมังสวิรัติที่ทำด้วยข้าว หรือถั่วเหลืองแทนก็ได้

           5. เลือกน้ำสลัดผิดประเภท หรือราดน้ำสลัดจนชุ่ม

           น้ำสลัดส่วนใหญ่ที่ขายอยู่ในท้องตลาด มักมีไขมันและแคลอรีสูง น้ำสลัดแบบครีมเพียง 2 ช้อนโต๊ะให้พลังงานถึง 100-200 กิโลแคลอรี หากใครราดน้ำสลัดจนชุ่มก็ยิ่งทำให้ปริมาณมาณพุ่งสูงขึ้นไปอีก เวลากินสลัดคุณควรเลือกน้ำสลัดสูตรไขมันต่ำ น้ำตาลน้อย หรือเพิ่มรสชาติด้วยการเหยาะน้ำส้มสายชูจากน้ำองุ่น (balsamic vinegar) หรือบีบน้ำมะนาวแทน หากใครกินสลัดที่ร้านอาหารก็อย่าลืมบอกพนักงานให้แยกน้ำสลัดมาต่างหาก

           6. ชอบโรยลูกเกด หรือผลไม้อบแห้ง

           ผลไม้อบแห้ง เช่น ลูกเกด แครนเบอรี่อบแห้ง ได้ชื่อว่าเป็น “ลูกกวาดธรรมชาติ” เพราะถึงแม้จะปราศจากไขมัน แต่ก็เต็มไปด้วยน้ำตาล ลูกเกดปริมาณ ¼ ถ้วย (ประมาณ 40 กรัม) ให้พลังงาน 130 กิโลแคลอรี และมีน้ำตาลถึง 29 กรัมเลยทีเดียว หากคุณอยากเพิ่มรสเปรี้ยวๆ หวานๆ จากผลไม้ในสลัด อาจเลือกใส่ผลไม้สด เช่น สตรอว์เบอรี่ บลูเบอรี่ แอปเปิลแทนก็ได้

 


10 ทริคจัดหิ้งพระในบ้านอย่างไรให้เป็นสิริมงคลกับเจ้าของ

10 ทริคจัดหิ้งพระในบ้านอย่างไรให้เป็นสิริมงคลกับเจ้าของ
 
S! Home
สนับสนุนเนื้อหา

          บ้านแต่ละหลังย่อมมีหิ้งพระ หรือมากกว่านั้นอาจจะมีหิ้งเทพ หิ้งรูปบรรพบุรุษและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ต่างๆ แต่ก็ยังพบปัญหาว่าหลายคนไม่ทราบว่าควรจัดวาง ตั้งหิ้งพระไว้บริเวณใดของบ้านถึงเหมาะสมและเป็นมงคลกับชีวิต รวมถึงอาจเผลอวางหิ้งพระผิดที่ผิดทางจนเกิดความไม่เป็นมงคลได้ Sanook! Home เลยรวบรวมคำแนะนำเรื่องการจัดหิ้งพระให้เหมาะสมและเป็นมงคลต่อเจ้าของบ้าน

          การจัดหิ้งพระในบ้านอย่างไร ให้เป็นสิริมงคลกับเจ้าของบ้าน

          1. หมั่นดูแลหิ้งพระให้สะอาดอยู่เสมอ หลายจุดในบ้านเจ้าของบ้านให้ความสำคัญแต่บางครั้งหลงลืมตำแหน่งของหิ้งพระ ดังนั้นต้องหมั่นเช็ดทำความสะอาดองค์พระหรือรูปเทพ เพราะหากองค์พระหรือรูปเทพมีฝุ่นจับเชื่อว่าจะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย นอกจากนั้นควรหมั่นเปลี่ยนน้ำ ดอกไม้ในแจกันบูชาเพื่อให้ชีวิตของคนในบ้านสดชื่น แจ่มใสอยู่ตลอดเวลา

          2. เลือกตำแหน่งที่สงบ หิ้งพระควรตั้งอยู่ในพื้นที่ๆ สงบ ไร้เสียงรบกวน จอแจ เช่นบางบ้านประดับหิ้งพระไว้บริเวณประตูเข้า-ออก ซึ่งเป็นสัญญาณเตือนว่าคนในบ้านจะพบแต่ความวุ่นวาย

          3. หิ้งพระไม่ควรติดตั้งผนังเดียวกับห้องน้ำหรือห้องครัว รวมถึงไม่ควรหันหน้าหิ้งบูชาไปตรงกับประตูห้องน้ำหรือห้องครัว เพราะจะทำให้คนในบ้านเจ็บป่วย มีเรื่องขัดแย้งหรือเงินทองรั่วไหล

          4. หิ้งพระบนหลังตู้ควรสูงกว่าศีรษะ หากคุณพักอาศัยในคอนโดมิเนียม อพาร์ทเมนท์หิ้งพระควรอยู่สูงกว่าศีรษะเพราะมันเกี่ยวพันกับความเจริญก้าวหน้า อาชีพการงาน

          5. ห้องพระคือห้องพระ ห้องพระก็คือห้องสำหรับตั้งบูชาพระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพียงอย่างเดียว เราอย่าใช้ห้องพระไว้เก็บข้าวของชนิดอื่นๆ รวมทั้งห้องพระไม่ควรอยู่ติดกับห้องน้ำหรือมีประตูตรงกับห้องน้ำ

          6. หิ้งพระไม่ควรตั้งอยู่ปลายเตียง หากไม่จำเป็นจริงๆ ไม่ควรตั้งหิ้งบูชาไว้ในห้องนอน เนื่องจากเราอาจมีกิจกรรมที่ไม่เหมาะสมต่อหน้าหิ้งพระเช่นการเปลี่ยนเสื้อผ้า หรือการร่วมหลับนอนของคู่สามี-ภรรยา อีกทั้งยังไม่ควรหันหน้าหิ้งพระไปยังทิศที่เตียงตั้งอยู่ด้วย

          7. ห้องรับแขกไม่ใช่ที่ตั้งของหิ้งบูชา อย่างที่บอกว่าหิ้งพระควรตั้งอยู่ในห้องที่ค่อนข้างมีบรรยากาศสงบ

          8. บนหิ้งพระควรมีองค์พระหรือองค์เทพเป็นจำนวนเลขคี่

          9. หลีกเลี่ยงการตั้งหิ้งบูชาไว้ใต้คาน เพราะหมายถึงดวงชะตาของเจ้าของบ้านอาจถูกกดทับ และมักมีเรื่องให้ปวดหัวอยู่เสมอ

          10. หิ้งพระควรตั้งอยู่ในมุมที่เป็นสัดส่วน ไม่ใช่เมื่ออยู่นอกบ้านแล้วสามารถมองเห็นหิ้งพระในบ้านอย่างชัดเจน เช่นนั้นถือว่าไม่ดี

          

          นอกจากนี้ยังมีทิศต้องห้ามไม่ให้เจ้าของบ้านตั้งหิ้งพระอีกด้วย มาดูกันว่าคุณเกิดปีไหนและห้ามไม่ให้ตั้งหิ้งพระตรงไหน

          เจ้าของบ้านเกิดปีไหนและห้ามไม่ให้ตั้งหิ้งพระตรงไหน

          1. เจ้าของบ้านเกิดปีชวด ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศเหนือ เพราะจะส่งผลให้เจ้าบ้านเกิดอันตราย จนอาจถึงขั้นเสียชีวิต

          2. เจ้าของบ้านเกิดปีฉลู ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ จะส่งผลให้เจ้าบ้าน เกิดการเจ็บป่วยอย่างกะทันหัน

          3. เจ้าของบ้านเกิดปีขาล ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ จะส่งผลให้ผู้หญิงและสมาชิกในครอบครัวเกิดอันตราย

          4. เจ้าของบ้านเกิดปีเถาะ ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาไปทางทิศตะวันออก จะส่งผลให้เกิดความสูญเสียคนในบ้านจะเสียชีวิต

          5. เจ้าของบ้านเกิดปีมะโรง ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออก จะส่งผลให้คนในบ้านเกิดการเสียหายทั้งชายและหญิง

          6. เจ้าของบ้านเกิดปีมะเส็ง ห้ามตั้งหิ้งพระบูชา หันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้คนในครอบครัวมีความยุ่งยากที่สุดจนหาความสงบสุขไม่ได้

          7. เจ้าของบ้านเกิดปีมะเมีย ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศใต้ จะส่งผลให้เกิดเรื่องราวอัปมงคลขึ้นภายในบ้าน

          8. เจ้าของบ้านเกิดปีมะแม ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้ครอบครัว เกิดเรื่องร้ายแรงขึ้นอย่างไม่คาดฝัน

          9. เจ้าของบ้านเกิดปีวอก ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ เพราะจะส่งผลให้เกิดเรื่องร้าย ๆ กับสมาชิกเพศชายในครอบครัว

          10. เจ้าของบ้านเกิดปีระกา ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเพราะ จะทำให้ความทุกข์โศกมาเยือนครอบครัวจนต้องร้องให้อยู่เสมอ

          11. เจ้าของบ้านเกิดปีจอ ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ เพราะจะส่งผลร้ายให้สมาชิกในครอบครัวอย่างมาก ถึงขั้นเสียชีวิตได้

          12. เจ้าของบ้านเกิดปีกุน ห้ามตั้งหิ้งพระบูชาหันหน้าไปทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือเพราะจะส่งผลให้เกิดเรื่องร้าย ๆ ในครอบครัวอยู่ตลอด เสียเงินเสียทองขึ้นโรงขึ้นศาล

          ได้หลักการจัดหิ้งพระแบบง่ายๆ กันไปแล้ว ก็ลองตรวจเช็คดูนะคะว่าเราวางถูกต้องแล้วหรือยัง

 

ขอบคุณ

ข้อมูลจาก amulet zazana , https://www.sanook.com/home/9521/

ภาพจาก www.istockphoto.com

วิธีไล่นกพิราบแบบไม่ต้องทำบาป

วิธีไล่นกพิราบแบบไม่ต้องทำบาป

DDproperty
สนับสนุนเนื้อหา

             เชื่อว่าหลายคนกำลังประสบปัญหานกพิราบที่มักมาก่อปัญหา ไม่ว่าจะส่งเสียงดัง หรือถ่ายมูลบริเวณระเบียงและหลังคาบ้าน ซึ่งสร้างความสกปรก ส่งกลิ่นเหม็น และความรำคาญใจแก่เจ้าของบ้านเป็นอย่างมาก นอกจากนี้ ทั้งตัวและมูลของนกพิราบยังเป็นพาหะนำโรคต่าง ๆ การจัดการนกพิราบจึงเป็นเรื่องสำคัญที่ไม่ควรปล่อยปละละเลย และเราก็ควรรู้วิธีไล่นกพิราบเพื่อป้องกันปัญหาสุขภาพที่อาจตามมาได้

             โรคอันตรายจากนกพิราบ

             โรคที่มากับนกพิราบนั้นมาจากเชื้อราที่อยู่ในมูลของนกพิราบ คือ คริปโตคอคคัส ส่วนใหญ่ติดเชื้อชนิดนี้จากการสูดเอาสปอร์ของเชื้อราที่ลอยปะปนอยู่ในอากาศและมูลนกพิราบ จึงทำให้เป็นที่มาของโรคต่าง ๆ ดังนี้

                  - โรคปอดบวมและปอดอักเสบ อีกหนึ่งโรคที่รุนแรง เพราะอวัยวะภายในต่าง ๆ จะอักเสบ โดยเฉพาะปอด ซึ่งเกิดจากแบคทีเรียที่มีชื่อว่า คลามัยเดีย ที่เจริญเติบโตและอาศัยอยู่ในมูลนกพิราบ

                  - โรคไข้หวัดนก โรคที่ติดต่อระหว่างนกด้วยกัน ยิ่งถ้าอยู่รวมกันเป็นฝูง ยิ่งทำให้นกมีความเสี่ยงต่อการติดเชื้อร่วมกันมากขึ้น ส่งผลให้นกพิราบเป็นพาหะนำโรค เพียงแค่กระพือปีก ก็มีโอกาสแพร่เชื้อโรคมาสู่คนได้

                  - โรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ เกิดจากการสูดดมหรือสัมผัสเชื้อโรคที่มีชื่อว่า คริปโตคอคคัส นีโอฟอร์มาน เป็นเชื้อราชนิดหนึ่งที่เจริญเติบโตได้ง่ายและพบในมูลนกพิราบ ทำให้เยื้อหุ้มสมองอักเสบได้ทั้งในเด็กและผู้ใหญ่ โดยพบสูงถึงร้อยละ 9.09


             วิธีไล่นกพิราบ โดยไม่ต้องวางยาเบื่อหรือยิงนก มีหลายวิธีดังนี้

             1. แขวนกระดิ่งหรือโมบาย

             เมื่อเกิดลมพัด เสียงของกระดิ่งจะดังขึ้นและโมบายจะเคลื่อนไหว จึงทำให้นกพิราบตกใจ และไม่กล้าบินเข้ามาเกาะบริเวณนี้อีก

วิธีไล่นกพิราบแบบไม่รุนแรง

             2. ขึงลวดบนคานเหล็ก

             นำลวดเส้นเล็ก ๆ มาขึงเอาไว้เหนือคานเหล็กประมาณ 3 นิ้ว เส้นลวดนั้นจะกั้นไม่ให้นกพิราบบินลงมาเกาะได้ สุดท้ายนกพิราบก็จะบินหนีไป

             3. แขวนแผ่นซีดี

             นำแผ่นซีดีที่ไม่ใช้แล้วมาร้อยเข้าด้วยกัน จากนั้นนำไปแขวนที่ระเบียงหรือหลังคา เมื่อแผ่นซีดีกระทบกับแสงแดด จะทำให้แผ่นซีดีเกิดแสงสะท้อนวิบวับขึ้น ซึ่งสามารถไล่นกพิราบไม่ให้มาบริเวณนี้ได้

             4. ติดตาข่ายพีวีซี

             วิธีนี้เป็นวิธีไล่นกพิราบที่ผู้อยู่อาศัยในคอนโดฯ นิยมใช้กัน คือ นำตาข่ายพีวีซีขึงปิดช่องว่างระหว่างเพดานกับพื้นระเบียงให้มิดชิด เพื่อป้องกันไม่ให้นกพิราบบินเข้ามาเกาะหรือทำรังบริเวณระเบียง อีกทั้งยังไม่บดบังทัศนียภาพนอกระเบียงอีกด้วย

             5. กำจัดแหล่งอาหาร

             วิธีไล่นกพิราบ โดยที่ไม่ต้องใช้อุปกรณ์ในการไล่นก คือ หมั่นทำความสะอาดบริเวณบ้าน อย่าให้มีเศษอาหารล่อนกพิราบให้มาหา เพราะเมื่อบริเวณบ้านไม่มีเศษอาหารหรือซากขนมปังแล้ว นกพิราบก็จะเปลี่ยนไปหาแหล่งอาหารที่อื่นแทน

             6. ปูกระดาษหนังสือพิมพ์

             วิธีนี้เป็นวิธีไล่นกพิราบที่สามารถทำเองได้ง่าย ๆ เพียงนำกระดาษหนังสือพิมพ์มาปูบริเวณที่นกพิราบชอบมาเกาะหรือมาถ่ายมูล เมื่อนกพิราบบินมาเหยียบกระดาษหนังสือพิมพ์แล้ว ก็จะเกิดเสียงที่เนื้อกระดาษ ทำให้นกพิราบตกใจ บินจากไป และไม่กล้ากลับมาอีก

             7. เข็มขัดรัดสายไฟพลาสติก

             วิธีไล่นกพิราบนี้เหมาะสำหรับบ้านที่นกพิราบชอบมาเกาะที่ระเบียง โดยเข็มขัดรัดสายไฟจะมีลักษณะเป็นพลาสติกเส้นเล็ก ๆ ซึ่งสามารถไล่นกพิราบได้ด้วยการนำไปรัดกับราวระเบียงให้ปลายชี้ติดกัน แต่ไม่ต้องตัดส่วนปลายที่เหลือออก เพราะส่วนที่ชี้ออกมานั้น จะทำหน้าที่กันไม่ให้นกพิราบมาเกาะ ทั้งนี้ควรรัดถี่ ๆ เพื่อไม่ให้มีช่องว่างจนนกสามารถบินลงมาเกาะได้

             8. ฉีดน้ำไล่

             ฉีดน้ำไล่ทุกครั้งที่นกพิราบบินลงมาเกาะ ถึงแม้ว่าวิธีไล่นกพิราบนี้อาจไม่ได้ผลตั้งแต่ครั้งแรก เพราะช่วงแรก ๆ นกพิราบอาจจะยังไม่กลัว แต่เชื่อว่าหากหมั่นทำบ่อย ๆ เป็นประจำ นกพิราบอาจจะเกิดความกลัว และไม่อยากบินมาอีก

             จากสถิติการติดโรคจากนกพิราบ ทำให้รู้ว่านกพิราบอันตรายกว่าที่คิด เพราะฉะนั้นอย่าปล่อยให้นกมาสร้างความสกปรกและนำโรคมาให้ โดยเฉพาะโรคอันตรายจากมูลของนกพิราบ ทั้งนี้สามารถเลือกใช้วิธีไล่นกพิราบที่ไม่รุนแรงในข้างต้นได้ตามความเหมาะสม ซึ่งดีกว่าการกำจัดนกพิราบด้วยวิธีที่รุนแรงจนทำให้นกพิราบตาย เพราะนอกจากจะไม่เป็นการทำร้ายสัตว์แล้ว ซากนกพิราบยังเพิ่มโอกาสในการแพร่กระจายของเชื้อโรคจากนกพิราบอีกด้วย

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : https://www.sanook.com/home/21877/

6 ที่เช็กอิน เยือนถิ่นล้านนา ตามรอย “กลิ่นกาสะลอง”

             เที่ยวตามรอยละครแม่หญิงกาสะลอง ฟิน อิน จังหวัดเชียงใหม่ กับ 6 จุดเช็กอินเยือนถิ่นล้านนา ที่จะทำให้ทุกคนอินกับละครมากยิ่งขึ้นเมื่อมาเยือนสถานที่จริง

             วันนี้เราจะชวนเก็บกระเป๋า ไปแต่งตัวสไตล์ล้านนา เช็กอินท่องเที่ยวจังหวัดเชียงใหม่ ไปกับทริปตามรอยละคร “กลิ่นกาสะลอง” ตามหา หมอทรัพย์ กาสะลอง และซ้องปีบ! กับ 6 จุดเช็กอินสวยๆ ที่ใช้ถ่ายทำจริงในละคร พร้อมแล้ว เปลี่ยนชุด ไปเช็คอินกันเต๊อะ!

             จุดเช็กอินที่ 1 ประตูท่าแพ หรือชื่อเดิม ประตูเชียงเรือก

             อีกหนึ่งแลนด์มาร์คสำคัญของจังหวัดเชียงใหม่ ที่นักท่องเที่ยวต้องมาเช็คอินให้ได้ ไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึง!! กับประตูเมืองอันเก่าแก่ที่ปัจจุบันถูกบรูณะใหม่เป็นกำแพงที่ทำจากอิฐมอญสีส้มเป็นแนวยาวหลายเมตร และในทุกวันอาทิตย์จะมีการจัดงานถนนคนเดินท่าแพช่วงเย็น มีสินค้ามากมาย อาทิเช่น สินค้าพื้นเมือง เครื่องประดับ เสื้อผ้า โคมไฟ ของกิน เป็นต้น ซึ่งได้รับความสนใจจากชาวต่างชาติ และไทยเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้สำหรับแฟนๆ กลิ่นกาสะลองคงจะจำกันได้ว่าเป็นฉากที่ หมอทินกฤต, หมอภาคภูมิ และหมอก มาเที่ยวที่เมืองเชียงใหม่เจ้า

             จุดเช็กอินที่ 2 สะพานนวรัฐ หรือชื่อที่คนท้องถิ่นคุ้นเคยกันดี “ขัวเหล็กนวรัฐ”

             มีลักษณะเด่นคือ สะพานจะเป็นสีดำ เป็นสะพานแห่งแรกที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อใช้ในการข้ามแม่น้ำปิงระหว่างฝั่งตะวันออกไปฝั่งตะวันตก ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ยอดฮิตที่นักท่องเที่ยวนิยมไปถ่ายรูป และเป็นหนึ่งในฉากของละครกลิ่นกาสะลอง ในตอนที่กาสะลองได้พาหมอทินกฤต เดินชมเมืองผ่านสะพานแห่งนี้ในตอนกลางคืนนั่นเอง

             จุดเช็กอินที่ 3 วัดเจ็ดยอด หรือ วัดโพธารามมหาวิหาร

             วัดเก่าแก่ประจำจังหวัดเชียงใหม่ ที่ครั้งหนึ่งเคยถูกจัดเป็นสถานที่ทำการประชุมสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งที่ ๘ ของโลก มีจุดเด่นที่น่าสนใจคือ ที่วัดมีเจดีย์รูปทรงแปลกตาจากที่เราคุ้นเคยเป็นอย่างมาก เพราะ ที่ยอดเจดีย์มีถึงเจ็ดยอด แต่เจดีย์ทั่วๆ ไปนั้น จะมียอดแหลมเพียงยอดเดียวเท่านั้น และในละครเรื่องกลิ่นกาสะลอง วัดแห่งนี้ถูกใช้เป็นฉากการพบกันของ พริมพี่ได้กลับมาเจอกับกาสะลองในอดีต

             จุดเช็กอินที่ 4 วัดโลกโมฬี วัดคู่บ้านคู่เมืองของชาวเชียงใหม่

5-paapaii_5-july-2019

             มีอายุยาวนานกว่าห้าร้อยปี ภายในวัดมี “วิหารหลวง” ซึ่งเป็นวิหารเก่าแก่ ถูกสร้างตามแบบศิลปะล้านนา มีความงดงามและปราณีตอย่างมาก ด้านในเป็นที่ประดิษฐานของพระพุทธสันติจิรบรมโลกนาถ เหมาะสำหรับให้นักท่องเที่ยวได้มากราบไหว้และเรียนรู้ประวัติศาสตร์ ปัจจุบันกรมศิลปากรขึ้นทะเบียนวัดเป็นโบราณสถานของชาติ ส่วนในละครกลิ่นกาสะลอง วัดถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานยี่เป็ง ที่แสดงให้เห็นถึงประเพณีของชาวล้านนาในสมัยก่อนอย่างสวยงาม

             จุดเช็กอินที่ 5 วัดต้นเกว๋น หรือ วัดอินทราวาส

6-paapaii_5-july-2019

             อีกหนึ่งวัดเก่าแก่ของจังหวัดเชียงใหม่ มีสถาปัตยกรรมที่สวยงาม ภายในวัดมีศาลาจตุรมุขซึ่งพบเพียงหลังเดียวในภาคเหนือ ได้รับการประกาศจากสมาคมสถาปนิกสยามให้เป็น อาคารอนุรักษ์ดีเด่น เมื่อปี พ.ศ. 2532 และเป็นที่ถ่ายทำละครและหนังหลายเรื่อง ส่วนในละครกลิ่นกาสะลอง วัดแห่งนี้ถูกใช้ในฉากเกี่ยวกับ ฉากฟ้อนเจิง ฉากรำฟ้อน ฉากงานปีใหม่

             จุดเช็กอินที่ 6 สถานีรถไฟเชียงใหม่

7-paapaii_5-july-2019

             แลนด์มาร์คด้านการเดินทางของนักท่องเที่ยวที่มาทางรถไฟ ถูกสร้างขึ้นเป็นครั้งที่ 2 แล้วในปัจจุบัน หลังครั้งแรกโดนระเบิดจากสงครามตั้งแต่สมัยอดีต สำหรับใครที่มาถ่ายรูปที่นี่จะได้เห็นวิถีชีวิตที่เรียบง่ายของสถานีแห่งนี้จนต้องหลงรัก และมีวิวท้องฟ้าสวยๆ รางรถไฟเก๋ๆ ให้ไปถ่ายรูปไว้เก็บเป็นความทรงจำแบบย้อนยุคๆ ใครมาเชียงใหม่ก็อย่าแวะมาเก็บภาพกันน๊า และในละครกลิ่นกาสะลองก็ถูกใช้เป็นฉาก ที่ซ้องปีบและพ่อได้ไปรับท่านเจ้าคุณปลัด และแขกที่สถานี

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : https://www.sanook.com/travel/1416287/