เตือน ! ห้ามถ่ายสำเนาด้านหลังบัตรประชาชน เสี่ยงตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ

              เพจ ไทยคู่ฟ้า ของรัฐบาลโพสต์เตือน ห้ามถ่ายสำเนาด้านหลังบัตรประชาชน เสี่ยงตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ ชี้หลังบัตรประชาชนจะมี Laser ID ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ถ้าจะถ่ายให้ถ่ายแค่ด้านหน้าอย่างเดียว

ถ่ายสำเนาด้านหลังบัตรประชาชน
ภาพจาก เฟซบุ๊ก ไทยคู่ฟ้า 

           เมื่อวันที่ 9 ตุลาคม 2562 เฟซบุ๊ก ไทยคู่ฟ้า ของรัฐบาล โพสต์แจ้งเตือนเกี่ยวกับภัยอันตรายของการถ่ายสำเนาบัตรประชาชน โดยแจ้งว่า ไม่ควรถ่ายด้านหลังบัตรบัตรประชาชนไปพร้อมกับด้านหน้า เพราะเสี่ยงต่อการถูกกลุ่มผู้ไม่หวังดี สวมรอยได้

          ทั้งนี้ หลังบัตรประชาชนจะมี Laser ID (ชุดตัวเลข) ซึ่งเป็นส่วนสำคัญในการทำธุรกรรมต่าง ๆ ที่ใช้ยืนยันตัวตนควบคู่กับเลขบัตรประจำตัวประชาชนทั้ง 13 หลัก

          ดังนั้นจึงอยากฝากเตือนประชาชน ถ้าไม่จำเป็นอย่าให้บัตรประชาชนกับใครเด็ดขาด หากยังต้องใช้สำเนาบัตรประชาชนก็ให้ถ่ายเพียงด้านหน้าอย่างเดียวเท่านั้น



อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

 เฟซบุ๊ก ไทยคู่ฟ้าhttps://hilight.kapook.com/view/194737

ชาวบ้านมุกดาหารฮือฮา เจอแร่ทองคำตกไปทั่ว หลังระเบิดหินภูเขาสร้างถนน

       ชาวบ้านมุกดาหารฮือฮา เจอวัตถุปริศนาคล้ายแร่ทองคำตกอยู่ หลังจากระเบิดหินภูเขาสร้างถนน วอนหน่วยงานมาตรวจสอบเพื่อให้รู้แน่ชัด
แร่ทองคำ

ภาพจาก อมรินทร์ ทีวี

       วันที่ 10 ตุลาคม 2562 อมรินทร์ ทีวี รายงานว่า ชาวบ้าน ต.โนนยาง อ.หนองสูง จ.มุกดาหาร ได้พบก้อนหินและเศษหินจำนวนมาก โดยที่ผิววัตถุมีสีเหลือง คาดว่าเป็นแร่ทองคำ
       ด้านพระอาจารย์กมล อาสโร เจ้าอาวาสสำนักสงฆ์รัตนมงคล กล่าวว่า ที่บริเวณก่อสร้างถนนสี่เลน เส้นทางมุกดาหาร-กุฉินารายณ์ มีการขุดเจาะและระเบิดหินภูเขา 27 เมตร ก่อนที่จะมีเด็กเอาหินที่กระเด็นออกมาให้ที่วัด อาตมาจึงเรียกญาติโยมมาดูว่าเป็นทองหรืออะไร เพราะมีลักษณะแวววาว

 

แร่ทองคำ

ภาพจาก อมรินทร์ ทีวี 

       ขณะเดียวกัน พอตอนกลางคืนก็ใช้ไฟส่องกบตรวจดู พบว่าเห็นแสงระยิบระยับเต็มไปหมด

       ส่วนนายวุฒิ อาจหาญ ผู้ใหญ่บ้านคำพอก หมู่ 3 กล่าวว่า พื้นที่ก่อสร้างแห่งหนึ่ง ได้ขุดเจาะหินภูเขาแล้วพบเป็นแร่คล้ายทอง จึงอยากให้หน่วยงานมาตรวจสอบเพื่อให้ชาวบ้านหายสงสัย อย่างไรก็ตาม หมู่บ้านนี้เคยขุดพบทองคำมาแล้วในปี 2537 และเคยขุดเจอซากดึกดำบรรพ์ของเต่าอายุ 150 ล้านปี

แร่ทองคำ

ภาพจาก อมรินทร์ ทีวี

 

 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

 , https://hilight.kapook.com/view/194754

เตรียมรับมือ ซูเปอร์ไต้ฝุ่นฮากิบิส ถล่มญี่ปุ่น สะพรึง...รุนแรงเทียบเฮอริเคน ระดับ 5

          ญี่ปุ่นเตรียมรับมือ ซูเปอร์ไต้ฝุ่นฮากิบิส รุนแรงเทียบเฮอริเคนระดับ 5 ถึงฝั่งญี่ปุ่น เสาร์นี้ (12 ตุลาคม) เตือนระวังฝนตกหนัก ลมกระโชกแรง สถานทูตฯ แจ้งคนไทย ติดตามสถานการณ์ใกล้ชิด

          วันที่ 9 ตุลาคม 2562 สำนักข่าวซีเอ็นเอ็น รายงานว่า ประเทศญี่ปุ่นเตรียมรับมือกับไต้ฝุ่นหมายเลข 19 หรือ ซูเปอร์ไต้ฝุ่นฮากิบิส (Hagibis) ที่มีความรุนแรงเทียบเท่าพายุเฮอริเคนระดับ 5 หลังซูเปอร์ไต้ฝุ่นดังกล่าวก่อตัวขึ้นในมหาสมุทรแปซิฟิก และจะเคลื่อนผ่านหมู่เกาะโองาซาวาระ และมุ่งหน้ามายังภูมิภาคคันโต ในช่วงคืนวันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม หรือเช้าวันอาทิตย์ที่ 13 ตุลาคม นี้


ภาพจาก Japan Meteorological Agency


          ทั้งนี้ ซูเปอร์ไต้ฝุ่นฮากิบิส เป็นซูเปอร์ไต้ฝุ่นที่คงอยู่ยาวนานที่สุดในปีนี้ โดยมีระยะเวลานานกว่า 60 ชั่วโมง ด้วยขนาดและความรุนแรงของซูเปอร์ไต้ฝุ่นนี้ คาดว่าจะส่งผลกระทบต่อพื้นที่ต่าง ๆ ทั่วประเทศญี่ปุ่น แม้ไม่ได้อยู่ในเส้นทางที่ซูเปอร์ไต้ฝุ่นเคลื่อนผ่านโดยตรงก็ตาม

          ด้านเว็บไซต์เจแปนไทมส์ รายงานว่า กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น ได้ประกาศเตือนประชาชนให้พร้อมรับมือสถานการณ์ซูเปอร์ไต้ฝุ่นฮากิบิส ซึ่งจะทำให้เกิดฝนตกหนัก กระแสลมแรง คลื่นสูง และคลื่นพายุซัดฝั่ง (สตอร์ม เซิร์จ) ซึ่งนักวิเคราะห์คาดว่าจะเกิดพายุฝนตกหนักในญี่ปุ่น ตั้งแต่วันศุกร์ที่ 11 ตุลาคม

          พร้อมกันนี้ยังมีความกังวลว่าหลายพื้นที่อาจเผชิญความเสี่ยงที่จะเกิดกับสถานการณ์ดินถล่ม เสาไฟหักโค่น ถนนได้รับความเสียหาย ซึ่งทางประธานของบริษัท East Japan Railway Co. เตรียมพิจารณาระงับการเดินรถไฟในช่วงเวลาที่ซูเปอร์ไต้ฝุ่นฮากิบิสเคลื่อนผ่านพื้นที่ หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงเส้นทางที่คาดว่าพายุจะเคลื่อนผ่าน


ภาพจาก Japan Meteorological Agency

          ด้าน สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น แจ้งผ่านเพจเฟซบุ๊ก อ้างอิงข้อมูลจากกรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น ระบุว่า ฮากิบิส คาดการณ์ว่าจะถึงฝั่งคันโต ทางตะวันออกของญี่ปุ่น ตั้งแต่วันเสาร์ที่ 12 ตุลาคม และส่งผลกระทบต่อพื้นที่คันโตและโตไก ระหว่างวันที่ 12-13 ตุลาคม ทำให้เกิดฝนตกหนักและลมกระโชกแรงมาก คาดว่ากระแสลมในวันที่ 12 ตุลาคม จะมีความเร็วสูงสุดถึง 216 กิโลเมตรต่อชั่วโมง


          สถานเอกอัครราชทูตฯ จึงขอประกาศเตือนคนไทย โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวในพื้นที่คันโต (โตเกียว ฯลฯ) และโตไก (ชิซึโอกะ ฯลฯ) และบริเวณใกล้เคียง โปรดติดตามสถานการณ์ ระวังภัยจากฝนตกหนัก และลมกระโชกแรง หลีกเลี่ยงการออกจากเคหสถานในช่วงเวลาดังกล่าว ตรวจสอบความแข็งแรงของประตู-หน้าต่าง เตรียมอาหาร น้ำ และของจำเป็นในสถานการณ์ฉุกเฉิน ระวังสิ่งของด้านนอกบ้านหรือระเบียงที่อาจปลิวจากลมกระโชกแรงและสร้างความเสียหายได้ โปรดเตรียมความพร้อมหากมีประกาศอพยพของทางการญี่ปุ่น

          ในเบื้องต้น ยังไม่มีการประกาศให้อพยพ หรือระงับบริการของสายการบินและรถไฟ แต่อย่างไรก็ตาม มีการคาดการณ์ว่าไต้ฝุ่นฮากิบิส จะส่งผลกระทบทั้งทางรถไฟ เครื่องบิน และเส้นทางเดินรถ ในการนี้ขอให้ติดตามประกาศเพิ่มเติมของทางการญี่ปุ่น กรมอุตุนิยมวิทยาญี่ปุ่น สายการบิน และบริษัทรถไฟ ในช่วงวันที่ 11 และ 12 ตุลาคม รวมถึงให้ตรวจสอบตารางการบินและรถไฟด้วย

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : https://hilight.kapook.com/view/194751

หน้าหนาวมาแน่ กลางเดือนนี้ เหนือ-อีสาน หนาวกว่าปีก่อน ลุ้น กทม. แตะ 15 องศา

            ประเทศไทยเตรียมเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการ กลางเดือนตุลาคมนี้ ภาคเหนือ-อีสาน จะหนาวกว่าปีก่อน เผยช่วงที่หนาวเย็นสุดคือปลายปี 62 ถึงต้นปีหน้า 63 อุณหภูมิต่ำที่สุด 7-8 องศา ส่วน กทม. ต่ำสุดที่ 15-17 องศา

ฤดูหนาว 2562

            วันที่ 10 ตุลาคม 2562 ศูนย์ภูมิอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยา ออกประกาศคาดหมายลักษณะอากาศฤดูหนาวของประเทศไทย จะเริ่มประมาณกลางเดือนตุลาคม 2562 ถึงกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งคาดว่าปีนี้ ประเทศไทยตอนบนฤดูหนาวจะเริ่มต้นในช่วงประมาณกลางเดือนตุลาคม 2562 ซึ่งจะใกล้เคียงค่าเฉลี่ยปกติ และจะสิ้นสุดประมาณกลางเดือนกุมภาพันธ์ 2563

            อุณหภูมิต่ำสุดเฉลี่ย 20-21 องศาเซลเซียส และจะมีอากาศหนาวเย็นกว่าปีที่ผ่านมา (ปีที่ผ่านมาอยู่ที่ 21.9 องศาเซลเซียส) สำหรับอุณหภูมิต่ำที่สุด 7-8 องศาเซลเซียส จะอยู่บริเวณตอนบนของทั้งภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ส่วนกรุงเทพมหานคร อุณหภูมิต่ำที่สุดคือ 15-17 องศาเซลเซียส

            สำหรับช่วงเวลาที่จะมีอากาศหนาวเย็นที่สุด จะเริ่มครึ่งหลังของเดือนธันวาคม 2562 ถึงปลายเดือนมกราคม 2563 โดยยอดดอยและยอดภู รวมทั้งบริเวณเทือกเขาจะมีอากาศหนาวถึงหนาวจัด และมีน้ำค้างแข็งเกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง

            ส่วนภาคใต้จะมีอากาศเย็น บางแห่งในบางวันส่วนมากตอนบนของภาค และยังคงมีฝนตกชุกหนาแน่นทางฝั่งตะวันออกตั้งแต่จังหวัดชุมพรลงไป โดยเฉพาะในช่วงเดือนพฤศจิกายนและธันวาคม จะมีฝนตกหนักหลายพื้นที่ และหนักมากบางแห่ง ซึ่งจะทำให้เกิดน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก รวมทั้งน้ำล้นตลิ่งได้ สำหรับคลื่นลมในอ่าวไทยจะมีกำลังแรงเป็นระยะ ๆ บางช่วงมีคลื่นสูง 2-4 เมตร ส่วนฝั่งอันดามันมีคลื่นสูง 1-2 เมตร 

ฤดูหนาว 2562

 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก 

ศูนย์ภูมิอากาศ กรมอุตุนิยมวิทยาhttps://hilight.kapook.com/view/194715

เผย 6 คำแนะนำอายุยืน - กินดี นอนหลับ ออกกำลังกาย ไม่เครียด

            รายงานเกี่ยวกับคำแนะนำสำหรับการมีชีวิตที่ยืนยาวซึ่งเขียนโดย Christie Aschwanden ในหนังสือพิมพ์วอชิงตันโพสต์ ฉบับวันที่ 28 กันยายน 2019 รวบรวมคำแนะนำจากแพทย์ผู้เชี่ยวชาญหลายสาขาที่จะช่วยให้มีอายุยืนรวม 6 ข้อ

            ได้แก่ การออกกำลังกาย นอนพักผ่อนให้พอ กินอาหารที่ดีมีประโยชน์ เลี่ยงแอลกอฮอล์ที่มากเกินไป จัดการกับความเครียด และสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับผู้อื่น

            1. การออกกำลังกาย - แพทย์บอกว่าการเคลื่อนไหวร่างกายเพียง 10 ถึง 15 นาทีต่อวันก็ให้ผลที่ดีได้ โดยไม่จำเป็นถึงกับต้องวิ่งมาราธอน และว่าเราจะไม่ได้ประโยชน์อะไรเพิ่มเติมจากการหักโหมออกกำลังกายเกินกว่าหนึ่งชั่วโมงต่อวัน

            ตัวอย่างเรื่องประโยชน์ของการเคลื่อนไหวร่างกายนั้นมาจากผลการศึกษาในอังกฤษเมื่อราว 60 ปีที่แล้ว ซึ่งพบว่าพนักงานขายตั๋วบนรถเมล์สองชั้นของอังกฤษที่ต้องเดินขึ้นลงตลอดเวลาในการทำงาน มีอายุยืนกว่าพนักงานขับรถที่ต้องนั่งทำงานทั้งวัน

            นอกจากนั้น การออกกำลังกายยังเป็นผลดีต่อสมองด้วย ในแง่การช่วยสร้างการเชื่อมต่อของเซลประสาท

            2. การนอนหลับ - เป็นกระบวนการที่ร่างกายและสมองได้ฟื้นฟูและซ่อมแซมตัวเอง โดยการอดนอนจะไปลดการทำงานของอินซูลินซึ่งจะเพิ่มความเสี่ยงของโรคเบาหวานได้

            ผลการศึกษาเมื่อปี 2015 ชี้ว่า ความเสี่ยงของโรคเบาหวานประเภท 2 จะเพิ่มขึ้นในคนที่นอนน้อยกว่าวันละ 7 ชั่วโมงหรือมากกว่า 9 ชั่วโมง และนักวิจัยแนะว่าชั่วโมงการนอนหลับที่เหมาะสมนั้นคือ 7 - 8 ชั่วโมงต่อวัน

            3. อาหารที่ดีมีประโยชน์ – ไม่มียาหรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใดซึ่งได้รับการรับรองว่าช่วยให้อายุยืนได้ และผลการทดลองในหนูที่รับแคลอรี่น้อยลงและมีอายุยืนขึ้นนั้น ก็ยังไม่ชัดเจนว่าจะให้ผลแบบเดียวกันในมนุษย์หรือไม่ ดังนั้น การเลือกกินอาหารที่ดีมีประโยชน์ต่อสุขภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญ รวมทั้งควรเลือกเวลากินให้ถูกต้องด้วย

            สำหรับอาหารสไตล์เมดิเตอร์เรเนียน เช่น ปลา ผัก ผลไม้ ถั่วเปลือกแข็ง ไขมันชนิดดีเช่น น้ำมันมะกอก และเมล็ดธัญพืชไม่ขัดสีนั้น นักโภชนาการแนะว่าสำหรับผู้ที่ไม่ถนัดอาหารสไตล์นี้อาจทานอาหารที่เน้นผักผลไม้ก็จะให้ประโยชน์เช่นกัน

            4. การดื่มแอลกอฮอล์ - ผลการวิจัยของฝรั่งเศสเคยระบุว่า ไวน์แดงในปริมาณที่เหมาะสมอาจช่วยลดความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดหัวใจและเบาหวานประเภท 2 ได้

            อย่างไรก็ตาม แพทย์แนะนำว่าควรถือหลักพอประมาณเรื่องแอลกอฮอล์ คือให้ไม่เกิน วันละหนึ่งถึงสองแก้ว และสำหรับคนที่ไม่เคยดื่ม นักวิจัยก็เตือนว่าไม่ควรจะเริ่มโดยคิดว่าจะได้ประโยชน์จากเรื่องนี้

            5. การบริหารจัดการความเครียด - เป็นเรื่องสำคัญเพราะความเครียดทำให้เกิดภาวะอักเสบในร่างกายหรือ inflammation ซึ่งเป็นสาเหตุสำคัญของโรคร้ายต่าง ๆ เช่น มะเร็ง หัวใจวาย หรืออัลไซเมอร์

            6. การสร้างสายใยความสัมพันธ์กับผู้อื่น และทำให้ชีวิตมีเป้าหมายและมีคุณค่า - เพราะความสัมพันธ์ที่มีความหมายก็มักเป็นพลังสำคัญช่วยผลักดันให้อายุยืนยาวได้

            อาจารย์ Steve Cole ศาสตราจารย์ด้านอายุรกรรมและพฤติกรรมศาสตร์ของมหาวิทยาลัย UCLA ชี้ว่า ความหมายที่แท้จริงของการมีอายุยืนนั้นไม่ใช่การมีชีวิตอยู่ได้นาน แต่เป็นความโชคดีของเราที่อยู่ได้โดยปราศจากโรคร้ายที่รุมเร้ามากกว่า

            ดังนั้นจึงดูเหมือนว่า นัยสำคัญของการมีอายุยืนจึงไม่ใช่ที่จำนวนปี แต่เป็นการมีอายุแบบที่ไม่ต้องนอนป่วยยาว ๆ อยู่บนเตียงนั่นเอง

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : https://www.sanook.com/men/60225/

เคยลงแล้วก็ยังได้อีก ! จ่อชง ชิมช้อปใช้ เฟส 2 เข้า ครม. คาดใช้ได้ พ.ย.-ธ.ค. นี้

         อุตตม สาวนายน เผยเตรียมชงโครงการ ชิมช้อปใช้ เฟส 2 เข้าเสนอคณะรัฐมนตรี คาดใช้ได้เดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2562 เผยคงไม่ถึง 10 ล้านคน แต่คนที่ลงแล้วก็ลงได้อีก

อุตตม สาวนายน

ภาพจาก สำนักข่าว INN

          วันที่ 9 ตุลาคม 2562 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงการขับเคลื่อนโครงการ ชิมช้อปใช้ เฟส 2 ว่า ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการพิจารณารายละเอียด ซึ่งยังไม่มีข้อมูลที่แน่ชัด โดยได้สั่งการให้สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไปศึกษาในรายละเอียดให้ชัดเจน คาดว่าจะเสนอคณะรัฐมนตรีได้ภายในเดือนตุลาคม 2562

          ทั้งนี้ มีความเป็นไปได้ที่จะเพิ่มจำนวนเงินให้กับประชาชน แต่ต้องอยู่ในภายใต้เงื่อนไข เพราะภาครัฐต้องการให้เกิดการจับจ่ายใช้สอยในพื้นที่ต่าง ๆ โดยเฉพาะเมืองรอง แต่ทั้งหมดนี้ก็ต้องดูในรายละเอียดอีกครั้ง ขณะที่การเปิดให้ลงทะเบียนในเฟส 2 ก็จะให้ลงทะเบียนเพิ่มเติม คาดว่าน่าจะมากกว่า 5 ล้านคน แต่คงไม่ถึง 10 ล้านคนเหมือนกับเฟสแรก และคนที่เคยลงทะเบียนในเฟสแรกก็มีสิทธิ์ลงทะเบียนเฟส 2 อีกครั้ง

ชิมช้อปใช้ เฟส 2

        
          อย่างไรก็ตามการเปิดให้ลงทะเบียนโครงการชิมช้อปใช้เฟส 2 คาดว่าจะอยู่ในช่วงเดือนพฤศจิกายน-ธันวาคม 2562 เพื่อต้องการให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจผลักดันให้ GDP ไตรมาสสุดท้าย

ข้อมูลจาก สำนักข่าว INN, https://money.kapook.com/view215682.html

เตรียมผ่าชันสูตรพลิกศพ ลัลลาเบล อีกครั้งพรุ่งนี้ จี้ต้องทราบผลภายใน 21 ต.ค.

          สถาบันนิติวิทยาศาสตร์ เตรียมผ่าชันสูตรพลิกศพ ลัลลาเบล ใหม่ 10 ตุลาคม 2562 เผย ไม่ได้ผ่าซ้ำเหมือนกับครั้งแรก แต่เป็นการตรวจ หลังครอบครัวติดใจว่าถูกล่วงละเมิดทางเพศหรือไม่

ลัลลาเบล ธิติมา

ภาพจาก เฟซบุ๊ก ธิติม นรพันธ์พิพัฒน์

          วันที่ 9 ตุลาคม 2562 พ.ต.ท. วรรณพงษ์ คชรักษ์ ผู้อำนวยการสถานบันนิติวิทยาศาสตร์ ระบุว่า หลังทางสถาบันได้รับเรื่องจากครอบครัวของลัลลาเบล ที่ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรม และแนวทางการช่วยเหลือกับการกระทรวงยุติธรรมแล้ว และจะเริ่มผ่าชันสูตรพลิกศพใหม่ในวันพรุ่งนี้ (10 ตุลาคม) ที่โรงพยาบาลธรรมศาสตร์เฉลิมพระเกียรติศูนย์รังสิต

ลัลลาเบล ธิติมา 

          โดยการผ่าชันสูตรพลิกศพใหม่นี้ จะมีการนำผลชันสูตรจากโรงพยาบาลจุฬาลงกรณ์มาพิจารณา เพื่อตรวจสอบเพิ่มเติมในประเด็นที่ทางครอบครัวยังติดใจสงสัย โดยเฉพาะประเด็นการถูกล่วงละเมิดทางเพศ ซึ่งจะเร่งรัดให้แล้วเสร็จภายในวันที่ 21 ตุลาคม นี้ เนื่องจากมีการเลื่อนเวลาการควบคุมตัวผู้ต้องหาในคดีนี้อยู่

ลัลลาเบล ธิติมา

          ขณะที่นายพงษา ราตรี ทนายความของครอบครัวลัลลาเบล ระบุว่า การชันสูตรในวันพรุ่งนี้ เป็นส่วนของการตรวจแบบไม่ได้ผ่าซ้ำเหมือนกับครั้งแรก แต่จะเป็นการตรวจเฉพาะบางประเด็น เช่น การตรวจหาสารเคมีบางชนิด ซึ่งไม่เคยตรวจสอบมาก่อน ทั้งนี้ เพื่อให้สำนวนการสอบสวนของคดีมีความสมบูรณ์


          นอกจากนี้ในวันที่ 15 ตุลาคม ทางครอบครัวจะเดินทางไปที่กระทรวงแรงงานเพื่อไปสอบถามเรื่องการเยียวยาด้านอาชีพให้กับนางศุภมาส นรพันธพิพัฒน์ แม่ของลัลลาเบล รวมถึงจะมีการหารือเรื่องการเยียวยาหนี้สินของครอบครัวต่อไป
ลัลลาเบล ธิติมา

ข้อมูลจาก สำนักข่าว INN, https://hilight.kapook.com/view/194689

ซีพีออลล์ แจง ชิมช้อปใช้ ใช้ที่เซเว่นได้ 100 สาขา - เติมเข้าทรูมันนี่ วอลเล็ท ไม่ได้

          ซีพีออลล์ ออกประกาศ ชิมช้อปใช้ ใช้ได้เซเว่นฯ 100 สาขา 5 หัวเมืองใหญ่ แต่ไม่สามารถใช้เติมเข้าทรูมันนี่วอลเล็ท ซื้อบัตรเติมเงิน-บัตรเงินสด

          วันที่ 7 ตุลาคม 2562 สำนักข่าว TNN รายงานว่า บริษัท ซีพีออลล์ จำกัด (มหาชน) ออกหนังสือเรื่อง การให้บริการ "ชิม ช้อป ใช้" เพื่อชี้แจงลูกค้ากรณีลูกค้าไม่สามารถนำเงินจากมาตรการ ชิม ช้อป ใช้ มาเติมเข้าบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ซื้อบัตรเติมเงิน และบัตรเงินสดทุกประเภทที่ร้านเซเว่นฯ โดยมีใจความว่า...

          ตามที่ภาครัฐได้จัดให้มีโครงการชิม ช้อป ใช้ นั้น บริษัทขอเรียนว่าได้ร่วมสนับสนุนโครงการดังกล่าว โดยมีร้านเซเว่นฯ เข้าร่วมให้บริการรองรับมาตรการดังกล่าว จำนวน 100 สาขา ใน 5 จังหวัด ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, เชียงใหม่, ภูเก็ต, อุบลราชธานี และยะลา นั้น

 

          เพื่อให้เป็นไปตามวัตถุประสงค์ของโครงการดังกล่าว ลูกค้าไม่สามารถนำเงินจากโครงการ ชิม ช้อป ใช้ เติมเข้าบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ ทรูมันนี่ วอลเล็ท หรือบัญชีกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์อื่น หรือซื้อบัตรเติมเงินหรือบัตรเงินสดทุกประเภทได้

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : https://money.kapook.com/view215566.html

คอนเฟิร์มแล้ว ชิมช้อปใช้ เฟส 2 มาแน่นอน อุตตม บอกดีใจเห็นครอบครัวเที่ยวพร้อมหน้า

          อุตตม สาวนายน รมว.คลัง คอนเฟิร์มแล้ว ชิมช้อปใช้ มีเฟส 2 แน่นอน บอกพ่อค้าแม่ค้าอยากให้ขยายเพิ่ม ดีใจเห็นครอบครัวได้เที่ยวพร้อมหน้า เผยข้อมูลล่าสุด มีเม็ดเงินหมุนเวียนกว่า 1,000 ล้านบาท

         วันที่ 6 ตุลาคม 2562 นายอุตตม สาวนายน รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ได้เปิดเผยข้อมูลผ่านเฟซบุ๊ก ดร.อุตตม สาวนายน ยืนยันว่า มาตรการชิมช้อปใช้ระยะที่สอง จะมีขึ้นแน่นอน ซึ่งจะเน้นปรับปรุงการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพ เพื่ออำนวยความสะดวกให้พี่น้องประชาชนมากยิ่งขึ้น พร้อมเผยว่า ขณะนี้มีผู้ใช้จ่ายผ่านมาตรการนี้แล้วประมาณ 1.3 ล้านคน ทำให้เกิดเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจมากกว่า 1,000 ล้านบาท และมีจำนวนร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 1.7 แสนร้าน

          "โครงการชิมช้อปใช้ ไม่ได้ส่งผลทางเศรษฐกิจเพียงอย่างเดียว แต่ยังช่วยทำให้สังคมมีความใกล้ชิด มีความเอื้ออาทรซึ่งกันและกันอีกด้วย ผมได้เห็นภาพลูก ๆ ที่ได้เข้าร่วมมาตรการชิมช้อปใช้ พาคุณพ่อคุณแม่ รวมถึงคนในครอบครัว รวมตัวกันไปท่องเที่ยวด้วยกัน เป็นการใช้เวลาร่วมกันอย่างมีความสุข ซึ่งที่ผ่านมา 1 สัปดาห์ ได้ผลตอบรับจากพี่น้องประชาชนอย่างต่อเนื่อง จากการลงพื้นที่เยี่ยมเยียนและรับฟังความคิดเห็น พ่อค้าแม่ขายและพี่น้องประชาชนชื่นชมมาตรการนี้และขอให้มีการขยายผลเพิ่มเติม ซึ่งเป็นที่แน่นอนแล้วว่า จะมีระยะที่สองต่อไปแน่นอน"

          นอกจากนี้ เดลินิวส์ออนไลน์รายงานเพิ่มเติมว่า การเปิดลงทะเบียน ชิมช้อปใช้ รอบเก็บตก ของวันนี้ (6 ตุลาคม) หรือนับเป็นวันที่ 14 ของโครงการ ซึ่งเปิดลงทะเบียนสิทธิ์ที่เหลือ 306,000 ราย ปรากฏว่าหลังเปิดลงทะเบียนตอน 00.01 น. มีประชาชนเข้าไปลงทะเบียนอย่างรวดเร็วจนเต็มในเวลา 01.06 น. อย่างไรก็ตาม หากยังมีผู้ใช้กรอกข้อมูลไม่ถูกต้อง รวมถึงผู้ที่ลงทะเบียนผ่าน แต่ไม่ใช้เงินภายใน 14 วัน ก็มีนำสิทธิ์มาเปิดให้ลงทะเบียนใหม่ ต่อเนื่องไปจนถึงวันที่ 15 พฤศจิกายน นี้ หรือจนกว่าจะมีผู้ใช้สิทธิ์ครบ 10 ล้านคน

 

อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

เฟซบุ๊ก ดร.อุตตม สาวนายนhttps://money.kapook.com/view215550.html

น่ากลัว.. หมอเผยภาพนิ่วจำนวนมาก ของคนไข้ปวดหลัง เยอะจนเรียงต่อเป็นคำได้

        หมอเผยภาพสุดน่ากลัว ผ่าตัดนิ่วจากไตคนไข้ พบมีจำนวนมากจนสามารถเรียกต่อเป็นคำว่า "นิ่ว" ได้ แนะคนไม่อยากเป็นโปรดดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วต่อวัน

       วันที่ 7 ตุลาคม 2562 มีรายงานว่า นายแพทย์ศิริอนันต์ ประสิทธิ์ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษโรงพยาบาลยะลา แผนกศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ ได้มีการโพสต์รูปถ่ายผ่านเฟซบุ๊ก Sirianan Prasit เผยภาพนิ่วจำนวนมาก หลังผ่าตัดออกมาจากร่างกายของคนไข้ที่มีอาการปวดหลังเรื้อรัง พบว่ามีจำนวนมาก จนสามารถนำมาเรียงต่อกันได้คำว่า "นิ่ว"


       พร้อมกันนี้ คุณหมอได้ระบุข้อความว่า "ของกลางที่พบในคนไข้รายหนึ่ง หลังจากที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดหลังและอาการไตเสื่อม คงไม่ต้องบอกว่า......คืออะไร        นิ่วในไตใหญ่เบ้อเริ่ม

       ขอบคุณโครงการ #ก้าวคนละก้าว ที่นำเครื่องมือผ่าตัดนิ่ว มาสู่รพ.ยะลา

       Uro Yala Team"

       โดยโพสต์ดังกล่าวกลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากหลังการโพสต์ได้ไม่นาน ซึ่งชาวโซเชียลจำนวนมาต่างพากันตื่นตัวกับโรคดังกล่าวอย่างมาก

       ทั้งนี้ นิ่วในไต และท่อไต เป็นผลมาจากหินปูนหรือเกลือแร่ต่าง ๆ เช่น แคลเซียม ออกซาเลต, แคลเซียม ฟอสเฟต, กรดยูริก และซีสเตอีนในปัสสาวะที่ตกตะกอน หรือตกผลึกขึ้นในไตแล้วสะสมรวมกันเป็นก้อนแข็งมีลักษณะคล้ายก้อนกรวดเรียกว่า นิ่ว

       หากนิ่วยังอยู่ในไตเรียกว่า โรคนิ่วในไต (kidney stone) แต่หากก้อนนิ่วหลุดลงมายังท่อไตเรียกว่า โรคนิ่วในท่อไต (ureteric stone) เนื่องจาก ไต เป็นอวัยวะที่มีหน้าที่หลัก คือ กรองของเสียที่อยู่ในเลือดและขับถ่ายออกนอกร่างกายทางปัสสาวะ โดยปัสสาวะจะไหลผ่านกรวยไตลงมาตามท่อไตเพื่อลงสู่กระเพาะปัสสาวะและขับออกนอกร่างกายทางท่อปัสสาวะ

ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดนิ่ว ได้แก่..

       - ดื่มน้ำน้อยเกินไป หรืออยู่ในภาวะขาดน้ำ

       - พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีสารก่อนิ่วในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้แก่ อาหารที่มีโปรตีน เกลือ และน้ำตาลสูง

       - ภาวะน้ำหนักเกิน

       - มีโรคในระบบทางเดินปัสสาวะ และระบบทางเดินอาหาร เช่น ไตอักเสบ โรคหลอดเลือดในท่อไต ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ โรคลำไส้อักเสบ ท้องเสียเรื้อรัง โรคเกาต์

       - ปัจจัยทางพันธุกรรม คือ มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนิ่วมาก่อน

อาการที่มักพบในผู้ป่วยโรคนิ่วในไตและท่อไต ได้แก่..

       - ปวดรุนแรงเป็นช่วง ๆ บริเวณข้างลำตัวและหลัง บางครั้งอาจปวดช่องท้องด้านล่างลงไปจนถึงขาหนีบ

       - ปวดขณะปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย น้ำปัสสาวะน้อยผิดปกติ

       - ปัสสาวะมีเลือดปน มีสีน้ำตาลหรือสีชมพู

       - คลื่นไส้ อาเจียน

       - มีไข้ หนาวสั่น

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : https://health.kapook.com/view215601.html

ช็อกซ้ำซ้อน! เจ้าหน้าที่เจอช้างป่าล้มเพิ่มอีก 5 ตัว หลังพลัดตกเหวนรก

            เจ้าหน้าที่อุทยานฯ บังเอิญพบภาพน่าหดหู่ ช้างป่าเขาใหญ่ล้มเพิ่มอีก 5 ตัว หลังเกิดเหตุพลัดร่วงน้ำตกเหวนรก ทำให้มีช้างป่าล้มรวมทั้งสิ้น 11 ตัวแล้ว

            (8 ต.ค.) จากกรณีเหตุช้างป่าเขาใหญ่แตกฝูง ประสบเหตุพลัดตกลงไปที่น้ำตกเหวนรก กลายเป็นเหตุสลดทำให้ช้างป่าล้มทั้งหมด 6 ตัว ซากยังคงกระจัดกระจายอยู่ในธารน้ำตก โดยที่เจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วนยังอยู่ระหว่างการเก็บกู้ซากช้างป่าและช่วยเหลือช้างป่าแม่ลูกที่รอดชีวิต

            แต่ล่าสุดมีรายงานว่าเมื่อคืนที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้นำกำลังลงพื้นที่เฝ้าสังเกตการณ์และสำรวจเส้นทางของช้างป่าแม่ลูกว่ากลับเข้าสู่ผืนป่าแล้วหรือไม่ ขณะที่เจ้าหน้าที่อีกชุดหนึ่งได้แบ่งกำลังขึ้นไปตรวจสอบที่น้ำตกชั้น 2 แต่บังเอิญไปพบภาพน่าสะเทือนใจ เมื่อพบช้างป่านอนล้มเพิ่มอีก 5 ตัว กลายเป็นว่าเหตุการณ์ครั้งนี้มีช้างป่าล้มไปทั้งสิน 11 ตัว

            ทั้งนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายก เตรียมจะเปิดแถลงข่าวถึงประเด็นดังกล่าว ขณะที่เจ้าหน้าที่อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ได้รายงานเรื่องนี้ไปยังกรมอุทยานฯ เพื่อหาแนวทางป้องกันภัยที่จะเกิดขึ้นกับช้างป่าในพื้นที่แล้ว เบื้องต้นได้มีแนวทางสร้างและปรับปรุงแนวกั้นหน้าผา เพื่อป้องกันไปให้ช้างพลัดตกลงเหวลงไปอีก

            อย่างไรก็ตาม เหตุครั้งนี้นับเป็นโศกนาฏกรรมหมู่ที่เกิดขึ้นกับช้างป่าไทย ที่สร้างความเศร้าสลดหดหู่ใจเป็นอย่างมาก

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : https://www.sanook.com/news/7917318/

น่ากลัว.. หมอเผยภาพนิ่วจำนวนมาก ของคนไข้ปวดหลัง เยอะจนเรียงต่อเป็นคำได้

        หมอเผยภาพสุดน่ากลัว ผ่าตัดนิ่วจากไตคนไข้ พบมีจำนวนมากจนสามารถเรียกต่อเป็นคำว่า "นิ่ว" ได้ แนะคนไม่อยากเป็นโปรดดื่มน้ำวันละ 6-8 แก้วต่อวัน

       วันที่ 7 ตุลาคม 2562 มีรายงานว่า นายแพทย์ศิริอนันต์ ประสิทธิ์ นายแพทย์ชำนาญการพิเศษโรงพยาบาลยะลา แผนกศัลยกรรมทางเดินปัสสาวะ ได้มีการโพสต์รูปถ่ายผ่านเฟซบุ๊ก Sirianan Prasit เผยภาพนิ่วจำนวนมาก หลังผ่าตัดออกมาจากร่างกายของคนไข้ที่มีอาการปวดหลังเรื้อรัง พบว่ามีจำนวนมาก จนสามารถนำมาเรียงต่อกันได้คำว่า "นิ่ว"


       พร้อมกันนี้ คุณหมอได้ระบุข้อความว่า "ของกลางที่พบในคนไข้รายหนึ่ง หลังจากที่ต้องทนทุกข์ทรมานกับอาการปวดหลังและอาการไตเสื่อม คงไม่ต้องบอกว่า......คืออะไร        นิ่วในไตใหญ่เบ้อเริ่ม

       ขอบคุณโครงการ #ก้าวคนละก้าว ที่นำเครื่องมือผ่าตัดนิ่ว มาสู่รพ.ยะลา

       Uro Yala Team"

       โดยโพสต์ดังกล่าวกลายเป็นที่พูดถึงอย่างมากหลังการโพสต์ได้ไม่นาน ซึ่งชาวโซเชียลจำนวนมาต่างพากันตื่นตัวกับโรคดังกล่าวอย่างมาก

       ทั้งนี้ นิ่วในไต และท่อไต เป็นผลมาจากหินปูนหรือเกลือแร่ต่าง ๆ เช่น แคลเซียม ออกซาเลต, แคลเซียม ฟอสเฟต, กรดยูริก และซีสเตอีนในปัสสาวะที่ตกตะกอน หรือตกผลึกขึ้นในไตแล้วสะสมรวมกันเป็นก้อนแข็งมีลักษณะคล้ายก้อนกรวดเรียกว่า นิ่ว

       หากนิ่วยังอยู่ในไตเรียกว่า โรคนิ่วในไต (kidney stone) แต่หากก้อนนิ่วหลุดลงมายังท่อไตเรียกว่า โรคนิ่วในท่อไต (ureteric stone) เนื่องจาก ไต เป็นอวัยวะที่มีหน้าที่หลัก คือ กรองของเสียที่อยู่ในเลือดและขับถ่ายออกนอกร่างกายทางปัสสาวะ โดยปัสสาวะจะไหลผ่านกรวยไตลงมาตามท่อไตเพื่อลงสู่กระเพาะปัสสาวะและขับออกนอกร่างกายทางท่อปัสสาวะ

ปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดนิ่ว ได้แก่..

       - ดื่มน้ำน้อยเกินไป หรืออยู่ในภาวะขาดน้ำ

       - พฤติกรรมการบริโภคอาหารที่มีสารก่อนิ่วในปริมาณสูงอย่างต่อเนื่อง ซึ่งได้แก่ อาหารที่มีโปรตีน เกลือ และน้ำตาลสูง

       - ภาวะน้ำหนักเกิน

       - มีโรคในระบบทางเดินปัสสาวะ และระบบทางเดินอาหาร เช่น ไตอักเสบ โรคหลอดเลือดในท่อไต ต่อมพาราไทรอยด์ทำงานมากผิดปกติ โรคลำไส้อักเสบ ท้องเสียเรื้อรัง โรคเกาต์

       - ปัจจัยทางพันธุกรรม คือ มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนิ่วมาก่อน

อาการที่มักพบในผู้ป่วยโรคนิ่วในไตและท่อไต ได้แก่..

       - ปวดรุนแรงเป็นช่วง ๆ บริเวณข้างลำตัวและหลัง บางครั้งอาจปวดช่องท้องด้านล่างลงไปจนถึงขาหนีบ

       - ปวดขณะปัสสาวะ ปัสสาวะแสบขัด ปัสสาวะบ่อย น้ำปัสสาวะน้อยผิดปกติ

       - ปัสสาวะมีเลือดปน มีสีน้ำตาลหรือสีชมพู

       - คลื่นไส้ อาเจียน

       - มีไข้ หนาวสั่น

 

ขอขอบคุณ

ข้อมูล : https://health.kapook.com/view215601.html