สาวพ้นคุกคดีเสพยา กลับมาแก้บนหลังห้องขัง สภ.เมืองระยอง หลังสมใจพ้นโทษโดยเร็วและไม่ถูกครอบครัวด่า เผยขณะสวดมนต์ได้ยินเสียงแว่วบอกเลขเด็ด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (30 พ.ย.) เมื่อเวลา 10.30 น. ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับการนำหัวหมู 1 หัว ขนมหวาน ผลไม้ และดอกไม้ มาวางบนกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ปูบนพื้นหญ้าหลังห้องขัง สภ.เมืองระยอง และกำลังนั่งคุกเข่าพนมมือไหว้พร้อมด้วยธูป ก่อนจะปักธูปบนหัวหมูขนาดเขื่อง สร้างความมึนงงให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก เพราะไม่เข้าใจว่ามากราบไหว้ที่หลังห้องขังทำไม เพราะไม่มีศาลพระภูมิ หรือ องค์พระ ในบริเวณดังกล่าวเลย จากการสอบถาม ผู้หญิงคนดังกล่าว ทราบว่า ชื่อ น.ส.ภารดา อายุ 30 ปี เปิดเผยว่า ตนเองได้มีการบนบานไว้กับเจ้าที่ภายในห้องขัง เมื่อประมาณหลายเดือนก่อนขณะที่ถูกจับกุมในข้อหาเสพยาเสพติด และขณะที่ถูกควบคุมตัวในห้องขัง ก็กลัวจนต้องยกมือขึ้นไหว้ในห้องขัง พร้อมกล่าวว่าหากเจ้าที่ในห้องขังมีจริง ขอให้ช่วยให้ถูกดำเนินคดีในข้อหาที่เบา หากช่วยได้จะนำหัวหมูมาแก้บน จนกระทั่งถูกลงโทษบำบัด แต่เมื่อครบกำหนดจึงถูกปล่อยตัวออกมา แต่ก็ลืมแก้บน ต่อมาก็มาถูกจับกุมอีกในข้อหาเสพยาเสพติดอีก แต่ครั้งนี้ขณะที่ถูกคุมขัง ตนเองได้นั่งสวดมนต์อยู่ภายในห้องขัง ก็ได้ยินเสียงแว่วว่าหิวหมู เป็นเสียงคนแก่ จึงทำให้จำได้ว่าเคยบนบานไว้แล้วลืม จึงตั้งใจบนบานอีกครั้ง โดยกล่าวบนบานว่า หากครั้งนี้ลูกช้างพ้นโทษไม่เกิน 28 วัน และไม่ถูกครอบครัวโดยเฉพาะสามีด่าทอ เพราะต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง 5 คน ปรากฏว่าหลังถูกตัดสินบำบัด เป็นเวลา 45 วัน แต่ตนเองประพฤติดีจึงถูกลงโทษบำบัดเพียง 27 วัน และเมื่อกลับไปที่บ้าน ทางสามีและครอบครัวต่างก็ไม่ด่า แถมยังให้กำลังใจอีก จึงทำให้เชื่อว่าเกิดจากความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าที่ภายในห้องขังเป็นแน่ จึงตั้งใจว่าครั้งนี้ต้องมาแก้บนให้ได้ และตั้งใจหยุดยาเสพติดด้วย จนทำให้ร่างกายฟื้นฟูน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาถึง 13 กิโลกรัม จึงได้นำเครื่องเซ่นมาแก้บนในวันนี้ น.ส.ภารดา เปิดเผยต่ออีกว่า ตนเองอยากฝากให้ผู้ติดยาเสพติดทุกคนควรจะหยุดเสพยาเสพให้ได้ เพราะยาเสพติดทำลายทุกอย่างในชีวิต ซึ่งตนเองกำลังพยายามต่อสู้อย่างหนักเพื่อหยุดให้ได้ จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับครอบครัว และอยากฝากโชคลาภให้ทุกคน เพราะคืนก่อนได้ยินเสียงแว่วขณะสวดมนต์ในห้องได้ยินเสียงบอกว่า 79 ก็ลองเสี่ยงโชคดูกัน ต่อมาหลังจากธูปหมดจึงได้เก็บหัวหมูและเครื่องเซ่นกลับ เตรียมเอาไปแจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้าน เพื่อจะได้โชคดีกันถ้วนหน้า ขอขอบคุณ ข้อมูล : https://www.sanook.com/news/7968430/

ชาวนครศรีธรรมราชร้องเร่งกู้ชีวิต "ต้นยางนาโบราณ" อายุหลายร้อยปี ก่อนจะยืนต้นตาย เหตุลาดยางแอสฟัลท์-เทคอนกรีตทับพื้นที่โคนต้น บริเวณตัวเมืองนครศรีธรรมราช นับเป็นเมืองเก่าแก่ที่มีต้นยางนาโบราณอายุหลายร้อยปียืนต้นอยู่เป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะแนวถนนราชดำเนิน ตลอดทั้งสายแม้ว่ามีการตัดโค่นไปไม่น้อย แต่สำนึกในการอนุรักษ์ทำให้เห็นคุณค่าของไม้โบราณเหล่านี้ โดยล่าสุดวันนี้ (30 พ.ย.) มีรายงานว่าพบต้นยางนาโบราณอายุหลายร้อยปี กำลังยืนต้นค่อยๆ แสดงอาการยืนต้นตาย บริเวณริมด้านหน้าโรงเรียนอำมาตย์พิทยานุสรณ์ ตำบลปากพูน อำเภอเมืองนครศรีธรรมราช โดยต้นยางนาโบราณต้นนี้นั้น ยืนต้นสูงจากพื้นมากกว่า 30 เมตร ทรงพุ่มเริ่มทรุดโทรมอย่างเห็นได้ชัด กิ่งหลักและกิ่งแขนงเริ่มผุหัก โดยต้นยางนาขนาดเดียวกันที่อยู่ติดกันถูกตัดโค่นไปแล้วก่อนหน้านี้ 1 ต้น เนื่องจากยืนต้นตายจากสาเหตุการขยายผิวถนนลาดยางแอสฟัลท์ทับจนมิด และหล่อคอนกรีตทางเท้าทับจนระบบรากเสียหายไม่สามารถยืนต้นต่อไปได้ สำหรับยางนาต้นนี้ยืนต้นมาตั้งแต่ก่อนสมัยรัชกาลที่ 6 และก่อนที่จะมีการก่อตั้งกองทัพภาคที่ 4 นายณัฐวุฒิ ภารภพ นายกสมาคมโรงเรียนเอกชนนครศรีธรรมราช ผู้บริหารโรงเรียนอำมาตย์พิทยานุสรณ์ กล่าวว่าสภาพต้นยางนาต้นนี้น่าจะอยู่ในวิสัยที่ฟื้นฟูได้ หากทางการเข้ามาดูแลฟื้นฟูได้ในตอนนี้น่าจะทำได้ เพราะสภาพต้นยังมีชีวิต ยังสด อยากจะขอความกรุณา ต้นไม้ใหญ่หายาก อยากให้มีไว้ เช่นที่จังหวัดลำพูนหรือที่ไหนๆที่เขาอนุรักษ์ไว้ ต้นไม้เช่นนี้มีน้อยแล้ว เด็กไม่ค่อยรู้จัก ต้นนี้อยู่ในเมือง อนุรักษ์ไว้จะเป็นอุปกรณ์การสอนเด็กได้เป็นอย่างดี ควรอนุรักษ์ไว้อย่างยิ่ง ขณะเดียวกันผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่ายังมีกลุ่มไม้ใหญ่ที่อยู่ริมถนนราชดำเนิน ช่วงหน้าพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาตินครศรีธรรมราช ซึ่งเป็นไม้เก่าแก่อายุหลายร้อยปีเช่นเดียวกันอยู่ในสภาพที่ขาดการดูแลมีการหล่อคอนกรีตล้อมรอบทำให้สภาพต้นไม้เริ่มทรุดโทรมเช่นเดียวกัน โดยหากไม้กลุ่มนี้ถูกโค่นล้มไปจะเป็นไม้ยางนาอายุหลายร้อยปีดั้งเดิมกลุ่มสุดท้ายที่จะสูญหายไปจากตัวเมืองนครศรีธรรมราช ขอขอบคุณ ข้อมูล : https://www.sanook.com/news/7968603/

สาวพ้นคุกคดีเสพยาแก้บน "เจ้าที่ห้องขัง" เผยได้ยินเสียงแว่วบอกเลขเด็ด

สาวพ้นคุกคดีเสพยา กลับมาแก้บนหลังห้องขัง สภ.เมืองระยอง หลังสมใจพ้นโทษโดยเร็วและไม่ถูกครอบครัวด่า เผยขณะสวดมนต์ได้ยินเสียงแว่วบอกเลขเด็ด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า (30 พ.ย.) เมื่อเวลา 10.30 น. ได้พบกับหญิงสาวคนหนึ่งกำลังง่วนอยู่กับการนำหัวหมู 1 หัว ขนมหวาน ผลไม้ และดอกไม้ มาวางบนกระดาษหนังสือพิมพ์ที่ปูบนพื้นหญ้าหลังห้องขัง สภ.เมืองระยอง และกำลังนั่งคุกเข่าพนมมือไหว้พร้อมด้วยธูป ก่อนจะปักธูปบนหัวหมูขนาดเขื่อง สร้างความมึนงงให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก เพราะไม่เข้าใจว่ามากราบไหว้ที่หลังห้องขังทำไม เพราะไม่มีศาลพระภูมิ หรือ องค์พระ ในบริเวณดังกล่าวเลย จากการสอบถาม ผู้หญิงคนดังกล่าว ทราบว่า ชื่อ น.ส.ภารดา อายุ 30 ปี เปิดเผยว่า ตนเองได้มีการบนบานไว้กับเจ้าที่ภายในห้องขัง เมื่อประมาณหลายเดือนก่อนขณะที่ถูกจับกุมในข้อหาเสพยาเสพติด และขณะที่ถูกควบคุมตัวในห้องขัง ก็กลัวจนต้องยกมือขึ้นไหว้ในห้องขัง พร้อมกล่าวว่าหากเจ้าที่ในห้องขังมีจริง ขอให้ช่วยให้ถูกดำเนินคดีในข้อหาที่เบา หากช่วยได้จะนำหัวหมูมาแก้บน จนกระทั่งถูกลงโทษบำบัด แต่เมื่อครบกำหนดจึงถูกปล่อยตัวออกมา แต่ก็ลืมแก้บน ต่อมาก็มาถูกจับกุมอีกในข้อหาเสพยาเสพติดอีก แต่ครั้งนี้ขณะที่ถูกคุมขัง ตนเองได้นั่งสวดมนต์อยู่ภายในห้องขัง ก็ได้ยินเสียงแว่วว่าหิวหมู เป็นเสียงคนแก่ จึงทำให้จำได้ว่าเคยบนบานไว้แล้วลืม จึงตั้งใจบนบานอีกครั้ง โดยกล่าวบนบานว่า หากครั้งนี้ลูกช้างพ้นโทษไม่เกิน 28 วัน และไม่ถูกครอบครัวโดยเฉพาะสามีด่าทอ เพราะต้องเลี้ยงลูกตามลำพัง 5 คน ปรากฏว่าหลังถูกตัดสินบำบัด เป็นเวลา 45 วัน แต่ตนเองประพฤติดีจึงถูกลงโทษบำบัดเพียง 27 วัน และเมื่อกลับไปที่บ้าน ทางสามีและครอบครัวต่างก็ไม่ด่า แถมยังให้กำลังใจอีก จึงทำให้เชื่อว่าเกิดจากความศักดิ์สิทธิ์ของเจ้าที่ภายในห้องขังเป็นแน่ จึงตั้งใจว่าครั้งนี้ต้องมาแก้บนให้ได้ และตั้งใจหยุดยาเสพติดด้วย จนทำให้ร่างกายฟื้นฟูน้ำหนักเพิ่มขึ้นมาถึง 13 กิโลกรัม จึงได้นำเครื่องเซ่นมาแก้บนในวันนี้ น.ส.ภารดา เปิดเผยต่ออีกว่า ตนเองอยากฝากให้ผู้ติดยาเสพติดทุกคนควรจะหยุดเสพยาเสพให้ได้ เพราะยาเสพติดทำลายทุกอย่างในชีวิต ซึ่งตนเองกำลังพยายามต่อสู้อย่างหนักเพื่อหยุดให้ได้ จะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่กับครอบครัว และอยากฝากโชคลาภให้ทุกคน เพราะคืนก่อนได้ยินเสียงแว่วขณะสวดมนต์ในห้องได้ยินเสียงบอกว่า 79 ก็ลองเสี่ยงโชคดูกัน ต่อมาหลังจากธูปหมดจึงได้เก็บหัวหมูและเครื่องเซ่นกลับ เตรียมเอาไปแจกจ่ายให้กับเพื่อนบ้าน เพื่อจะได้โชคดีกันถ้วนหน้า ขอขอบคุณ ข้อมูล : https://www.sanook.com/news/7968430/

แห่ส่องเลขเด็ด หลังชาวบ้านเจอเหตุประหลาด "ยอดต้นมะเดื่อ" สั่นอย่างแรงทั้งที่ไม่มีลม

ชาวบ้านแห่ส่องเลขเด็ด หลังหนุ่มใหญ่มานอนเฝ้าเครื่องสูบน้ำพบเรื่องราวประหลาด ยอดต้นมะเดื่อใหญ่คล้ายถูกจับเขย่าอย่างรุนแรง ทั้งที่ไม่มีลมพัด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 20.00 น. (29 พ.ย.) ได้รับแจ้งว่า มีชาวบ้านกลุ่มหนึ่งกำลังจัดเตรียม ดอกไม้ ธูปเทียน เครื่องเซ่นไหว้ พากันแห่ไปขอโชคลาภที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ บริเวณริมคลองบ่อย่า พื้นที่หมู่ 7 บ้านวังไทรทอง ต.ซับเปิบ อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ หลังจากมีเหตุการณ์แปลกประหลาดเกิดขึ้นกับชาวบ้านรายหนึ่ง ขณะที่ไปตั้งเครื่องสูบน้ำเข้านาช่วงกลางดึก จนต้องรีบหนีกลับบ้านด้วยความตื่นตระหนก ตกใจ ก่อนนำเรื่องราวดังกล่าว ไปเล่าให้เพื่อนบ้านฟังในวันรุ่งขึ้น กระทั่งวันนี้ ชาวบ้านกลุ่มดังกล่าว จึงได้ชักชวนกันนำเครื่องเซ่นไหว้ ดอกไม้ธูปเทียน เดินทางไปประกอบพิธีขอหวยตามความเชื่อ ที่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ซึ่งพบว่าเป็นต้นมะเดื่อ แผ่กิ่งก้านสาขาแตกออกเป็นพุ่ม ขนาดความสูงราว 20 เมตร พร้อมทั้งใช้แป้งฝุ่นโรยใส่ฝ่ามือ ลูบไปเบาๆ ที่ใต้โคนต้นมะเดื่อ โดยใช้แสงไฟส่องไปตามบริเวณที่ลูบแป้ง และเพ่งมองตัวเลขด้วยตาเปล่า บางคนก็ใช้โทรศัพท์มือถือ เปิดกล้องส่อง และถ่ายรูป หวังนำเลขเด็ดไปเสี่ยงโชคตามความเชื่อ ซึ่งก็ไม่ผิดหวัง ต่างพากันมองเห็นคล้ายตัวเลข 534 และคล้ายตัวเลข 55 จากการสอบถาม นายทองใส อายุ 55 ปี อาศัยอยู่บ้านเลขที่ 25 หมู่ 7 ต.วังโป่ง อ.วังโป่ง จ.เพชรบูรณ์ ผู้เจอเหตุการณ์แปลกประหลาด เล่าให้ฟังว่า ตนได้ไปติดตั้งเครื่องสูบน้ำ ที่บริเวณริมคลองบ่อย่า เพื่อผันน้ำใส่นาข้าวที่กำลังตั้งท้องออกรวง กว่า 30 ไร่ โดยสูบมาแล้วเป็นเวลา 3 คืน และทุกคืนตนก็นอนเฝ้าเครื่องเพียงลำพังคนเดียวเป็นประจำ ซึ่งในคืนที่ 4 หลังจากเดินดูน้ำในแปลงนาเสร็จแล้ว ก็ได้เดินมาหาส่องหอย ส่องปูในลำคลอง เพื่อนำไปเป็นอาหารในตอนเช้า ขณะที่เดินส่องมาถึงใต้ต้นมะเดื่อใหญ่ ตนรู้สึกผิดปกติ เมื่ออยู่ดีๆ ต้นมะเดื่อก็เกิดสั่นไหว และพุ่มไม้สั่นไปมา ตอนแรกคิดว่าลมพัดจึงใช้ไฟส่องขึ้นไปดู ก็ยิ่งแปลกใจอย่างมาก เมื่อสิ่งที่เห็นบนยอดต้นมะเดื่อ คล้ายกับถูกจับเขย่าอย่างรุนแรง โยกไปมาตลอดเวลา ทั้งๆ ที่ข้างกันไม่มีลมพัด ซึ่งขณะนั้นรู้ตัวได้ทันทีว่าเจอดีเข้าให้แล้ว ตนต้องถูกผีหลอกอย่างแน่นอน เมื่อได้สติจึงรีบวิ่งขึ้นจากคลอง และหนีกลับบ้านในทันที รอกระทั่งเช้าจึงเล่าเหตุการณ์ให้เพื่อนบ้านฟัง โดยเพื่อนบ้านเชื่อกันว่า ต้นไม้ใหญ่มักมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ปกปักรักษา จึงชวนกันเดินทางมาขอโชคลาภตามความเชื่อดังกล่าว ขอขอบคุณ ข้อมูล : https://www.sanook.com/news/7968230/

เผยสาเหตุเสียชีวิตของ "คิว ภูริวัฒน์" แม่พบขณะผูกคอตาย พยายามทำ CPR แต่สุดยื้อ

จากกรณีการเสียชีวิตของ คิว ภูริวัฒน์ สุวรรณมณี นักร้องนำของวง FridayNight to Sunday เจ้าของเพลงห้องนอน เพลงดังที่มียอดวิวในยูทูปกว่า 356 ล้านวิว ซึ่งเฟซบุ๊กส่วนตัวของคิว ภูริวัฒน์ และเพจของวงไม่มีการระบุการเสียชีวิตที่แน่ชัดนั้น >> "คิว ภูริวัฒน์" เจ้าของเพลงห้องนอน เพลงดัง 356 ล้านวิว เสียชีวิตแล้ว ล่าสุด (30 พ.ย.) รายการเรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ช่อง 3 รายงานว่า คิว ภูริวัฒน์ สุวรรณมณี นักร้องนำของวง FridayNight to Sunday ผูกคอเสียชีวิตภายในบ้านพักที่ จ.สงขลา โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นเมื่อคืนวันที่ 29 พ.ย. เวลา 20.30 น. ผู้ที่เข้าไปพบศพคือแม่ของนักร้องหนุ่ม ซึ่งได้พยายามทำ CPR แล้ว แต่ไม่สามารถยื้อชีวิตลูกชายเอาไว้ได้ เบื้องต้น คาดว่าสาเหตุของการผูกคอตายน่าจะมาจากภาวะซึมเศร้า แต่จะมีปัญหาอื่นด้วยหรือไม่นั้น เจ้าหน้าที่อยู่ระหว่างสอบถามจากญาติ ขณะที่ คนใกล้ชิด เปิดเผยว่า คิว ภูริวัฒน์ เคยพยายามฆ่าตัวตายมาแล้ว 3 ครั้ง โดยทางครอบครัวเตรียมนำร่างไปประกอบพิธีทางศาสนา ณ วัดท่าเคียน อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา ซึ่งมีกำหนดรดน้ำศพในเวลา 13.00 น. ของวันนี้ (30 พ.ย.) ด้าน เพื่อนบ้านใกล้เคียง บอกว่า คิวเป็นคนน่ารักมาตั้งแต่เด็ก มีความกตัญญูมากไม่เคยมีเรื่องอะไรให้ครอบครัวเดือดร้อน และเป็นคนที่รักแม่มาก สู้ชีวิตและเป็นคนเก่งมาก ชีวิตประจำวันในช่วงเย็นๆ จะพาสุนัขตัวโปรดออกมาเดินทุกวัน ไม่มีใครคิดว่าจะมาคิดสั้นฆ่าตัวตาย นอกจากนี้ คิวยังเตรียมการที่จะบวชให้แม่อีกด้วยในเร็วๆ นี้ แต่อยู่ระหว่างการเคลียร์งานให้เสร็จ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 27 พ.ย.ที่ผ่านมา คิว ภูริวัฒน์ ยังโพสต์ภาพของตนเองขณะเดินทางไปที่ จ.เชียงใหม่ หลังจากไปร่วมงานเชียงใหญ่เฟส โดยเช็กอินที่วัดพระธาติดอยสุเทพ พร้อมแซวตัวเองว่า "สวัสดีครับ ผมเต๋าสมชายครับ" ซึ่งโพสต์สุดท้ายดังกล่าวมีแฟนเพลงเข้าไปแสดงความไว้อาลัยมากมาย ขอขอบคุณ ข้อมูล : เรื่องเล่าเสาร์อาทิตย์ ภาพ : Pooriwat Suwanmanee

ยังน่าเป็นห่วง ! น้ำท่วมนราธิวาส กระทบกว่า 6 หมื่นชีวิต สังเวยแล้ว 1 ราย

สถานการณ์น้ำท่วมใน จ.นราธิวาส ยังน่าห่วง ผู้ว่าฯ ประกาศเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติ 5 อำเภอ ล่าสุด เด็กอายุ 12 ปี เสียชีวิต 1 คน จากต้นไม้ล้มทับ ขณะที่ น้ำในแม่น้ำสุไหงโก-ลก ทะลักท่วมบ้านเรือนสูงเกือบ 2 เมตร วันที่ 20 ธันวาคม 2562 อมรินทร์ ทีวี รายงานสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ จ.นราธิวาส ยังส่งผลกระทบเป็นวงกว้างหลายอำเภอ โดยนายเอกรัฐ หลีเส็น ผู้ว่าราชการจังหวัดนราธิวาส ได้ประกาศเขตพื้นที่ประสบภัยพิบัติ ในกรณีฉุกเฉินแล้ว 5 อำเภอ คือ 1. อ.แว้ง 2. อ.สุคิริน 3. อ.ศรีสาคร 4. อ.จะแนะ 5. อ.รือเสาะ โดยมีผู้ประสบภัย 14,530 ครัวเรือน 63,040 คน เสียชีวิต 1 ราย เป็นเด็กอายุ 12 ปี เหตุเกิดจากต้นไม้ล้มทับ บาดเจ็บ 2 ราย ทั้งนี้ได้สั่งอพยพชาวบ้านในพื้นที่ต่าง ๆ 130 ครัวเรือน ไปอยู่ที่ศูนย์อพยพผู้ประสบอุทกภัยโรงเรียนเทศบาล 4 นอกจากนี้ ทางผู้ว่าฯ ยังได้อนุมัติเงินทดรองราชการ มอบอำนาจให้นายอำเภอไปดูแลประชาชน อำเภอละ 500,000 บาท เพื่อให้เกิดความรวดเร็วในการแก้ปัญหา เพราะจนถึงขณะนี้หลายพื้นที่ยังมีฝนตกลงมาอย่างหนักระดับน้ำพื้นที่ราบถูกน้ำท่วมสูงต่อเนื่อง จากสภาวะน้ำท่วมใน จ.นราธิวาส ส่งผลให้เกิดน้ำป่าจากเทือกเขาสันกาลาคีรีไหลทะลักลงแม่น้ำสุไหงโก-ลก 1 ใน 3 แม่น้ำสายหลักจนล้นตลิ่ง ไหลบ่าเข้าท่วมพื้นที่การเกษตรและบ้านเรือนประชาชนตลอดแนวตลิ่ง โดยเฉพาะบริเวณท่าประปา ถนนประเวศชลธี น้ำท่วมสูงเกือบ 2 เมตร บางจุดท่วมสูงถึงมาตรวัดไฟ เจ้าหน้าที่ต้องตัดกระแสไฟฟ้าเพื่อความปลอดภัย อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก

OPPO Reno 3 Pro เวอร์ชั่น 5G อย่างไม่เป็นทางการก่อนเปิดตัวต้นปี 2020

อีกไม่นาน OPPO Reno 3 Pro ทั้งเวอร์ชั่นปกติ และเวอร์ชั่น 5G จะเปิดตัวในประเทศไทยอย่างเป็นทางการ ที่มีจุดเด่นในเรื่องของความโค้งมนของหน้าจอ และมีกล้องที่เรียบไปกลับเครื่องเหมือนเดิมพร้อมกับความบางระดับ 7.7 มิลลิเมตร แต่หลายคนสงสัยว่หน้าตาของเครื่องจะเป็นอย่างไร ตอนนี้มีภาพหลุดออกมาแล้ว โดย OPPO Reno 3 จะมาพร้อมกับหน้าแบบ AMOLED ขนาดหน้าจอ 6.5 นิ้วความละเอียด 2400x1080 พิกเซล เป็นหน้าจอแบบ Punch Display และมีค่า Frame Rate ที่ 90Hz OPPO Reno 3 Pro 5G จะมาพร้อมกับขุมพลัง Qualcomm Snapdragon 735, RAM 8GB ความจำขนาด 256GB พร้อมกล้องหน้าความละเอียด 32 ล้านพิกเซล ส่วนกล้องหลังจะมีขนาด 60 ล้านพิกเซล ส่วนระบบปฏิบัติการพื้นฐานจะใช้ Color OS 7 และมาพร้อมกับ Android 10 ส่วนแบตเตอรี่อาจจะให้ขนาด 4500 mAh รองรับระบบ Super VOOC กำลัง 30W ส่วนราคาอาจจะอยู่ไม่สูงมากราวๆ 500 – 600 ยูโร แต่สุดท้ายแล้วรายละเอียดเครื่องจริงจะเป็นอย่างไรต้องรอติดตามกันต่อไป ขอขอบคุณ ข้อมูล : https://www.sanook.com/hitech/1490261/

สุดล้ำ! ฟาร์มรัสเซียใส่แว่น VR ให้กับโคนมช่วยลดความวิตกกังวลเพื่อเพิ่มปริมาณน้ำนม

ฟาร์มโคนมในรัสเซียได้ดัดแปลงแว่น VR เป็นพิเศษให้สามารถสวมใส่พอดีกับหัวของโค ซึ่งฝูงโคนมในฟาร์มแห่งนี้ได้สวมแว่น VR เพื่อลดความวิตกกังวล เพราะกระทรวงเกษตรและอาหารของ Moscow ได้อ้างถึงการวิจัยว่าอารมณ์ของโคจะมีความสัมพันธ์กับผลผลิตของน้ำนม กระทรวงเกษตรและอาหารของ Moscow ได้เปิดเผยถึงการทดลองใช้แว่น VR กับโคนมที่ฟาร์ม RusMoloko ในเขตเมือง Ramensky ของกรุง Moscow ว่าได้รับแรงบันดาลใจจากฟาร์มโคนมของประเทศต่าง ๆ ที่มีการสร้างบรรยากาศที่สงบ ซึ่งมีผลทำให้ปริมาณและคุณภาพของน้ำนมเพิ่มมากขึ้น ฟาร์มโคนมได้ร่วมมือกับผู้เชี่ยวชาญด้านไอทีและสัตวแพทย์ทำการดัดแปลงแว่น VR ใช้กับโคนม โดยได้ศึกษาเกี่ยวกับการรับรู้เฉดสีและสร้างโปรแกรมจำลองสนามในฤดูร้อน ซึ่งจากการทดสอบพบว่าความวิตกกังวลของโคนมลดลงและทำให้อารมณ์ดีขึ้น ซึ่งมีผลต่อการผลิตน้ำนม นอกจากนี้นักพัฒนามีความตั้งใจว่าจะขยายโครงการและปรับปรุงการผลิตนมในรัสเซียให้ทันสมัย ขอขอบคุณ ข้อมูล : พิสูจน์อักษร : สุชยา เกษจำรัส, www.bbc.com

อัปเดต! Twitter หยุดลบบัญชีที่ไม่ใช้งานนานกว่าหกเดือนเพื่อรักษาบัญชีผู้เสียชีวิตที่ยังคิดถึง

จากข่าวเมื่อวันที่ 26 พฤศจิกายนว่า Twitter จะลบบัญชีบัญชีที่หลับใหลไม่ใช้งานมากกว่า 6 เดือน โดยแนะนำให้ล็อกอินก่อนวันที่ 11 ธันวาคม ไม่เช่นนั้นบัญชีจะโดนลบไม่สามารถเข้าล็อกอินใช้งานได้ตลอดกาล ล่าสุด 27 พฤศจิกายน Twitter ออกมาทวีตว่าได้รับฟังความคิดเห็นจึงขอชี้แจงว่า แผนนี้จะกระทบกับบัญชีในสหภาพยุโรปที่ไม่ใช้งานสม่ำเสมอเท่านั้น แต่ไม่ได้บังคับใช้อย่างต่อเนื่อง โดยจะเริ่มใช้ในส่วนหนึ่งของยุโรปที่มีข้อกำหนดความเป็นส่วนตัวในท้องถิ่น (GDPR) และอนาคตจะขยายให้สอดคล้องกับกฎหมายทั่วโลก ซึ่งถ้าจะเริ่มดำเนินการก็แจ้งให้ทุกคนทราบ รวมทั้ง Twitter มีความเป็นห่วงที่จะกระทบกับบัญชีผู้เสียชีวิต เพราะยังมีคนคิดถึงและอาลัยถึงคนเหล่านี้ จึงตัดสินใจไม่ขอลบบัญชีที่ไม่ใช้งานจนกว่าจะหาวิธีจัดการสำหรับบัญชีแห่งความทรงจำของทุกคน ขอขอบคุณ ข้อมูล : https://www.sanook.com/hitech/1490213/

น้าฝันว่าฟันหักหมดปาก โบราณเชื่อเป็นลางร้าย 2 วันต่อมาหลานชายตายจริง

(29 พ.ย.62) เวลา 06.00 น. พ.ต.ท.ณัฐกานต์ วรรณพันธ์ สารวัตรสอบสวน สภ.หนองหาน อ.หนองหาน จ.อุดรธานี ได้รับแจ้งว่า มีคนจมน้ำเสียชีวิต ที่บ้านนิคมหนองตาล หมู่2 ตำบลโพนงาม อ.หนองหาน จึงพร้อมด้วยแพทย์เวรจากโรงพยาบาลหนองหาน และ มูลนิธิส่งเสริมธรรมจุดบริการหนองหาน รุดไปตรวจสอบ ในที่เกิดเหตุเป็นสระน้ำท้ายอยู่ห่างจาก หมู่บ้านนิคมหนองตาล ไปจำนวน 500 เมตร อยู่ติดกับทุ่งนา พบศพชายทราบชื่อต่อมาคือ นายวีระ อายุ 36 ปี สภาพศพลอยคว่ำหน้าอยู่กลางสระน้ำสวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวลายสีน้ำตาล นุ่งกางเกงยีนส์ขายาวสีน้ำเงิน ก่อนตำรวจมาถึงได้นำศพขึ้นมาไว้บนฝั่ง นายหนูพัด อายุ 31 ปี ให้การว่า เมื่อวานนี้ หลังตนเกี่ยวข้าวเสร็จ แล้วไปดูหมอลำต่อ พอมาวันนี้ตอนเช้าตนจะมานอนเล่นที่กระท่อมใกล้กับสระน้ำ เห็น รถ จยย. ของใครไม่รู้จอดอยู่หน้ากระท่อมนา โดยสังเกตเห็นในเหมือนมีอะไรลอยอยู่ ในกลางสระน้ำ จึงเข้าไปดูใกล้ๆ ก็พบว่าเป็นศพคน ทำให้ตนตกใจมาก จึงรีบไปตามผู้ใหญ่บ้าน ก่อนโทรศัพท์แจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจ ส่วน นางอุ๊ต อายุ 49 ปี น้าสาวของผู้ตาย ให้การว่า พ่อกับแม่ของหลานชาย ได้เสียชีวิตไปหายปีแล้ว โดยหลานชายยังไม่มีครอบครัว ซึ่งจะอาศัยอยู่บ้านญาติพี่น้อง บางครั้งหลานชาย ก็จะมาหาตนขออาศัยอยู่ด้วย และหลานชายสุขภาพไม่ค่อยแข็งแรง เนื่องจากมีโรคประจำตัว และชอบดื่มสุรา ตนให้ไปหาหมอ เพื่อจะได้ตรวจ ว่าเป็นโรคอะไรบ้าง แต่ก็ไม่ค่อยไป โดยก่อหน้านี้เมื่อ 2 คืนที่ผ่านมา ตนฝันไม่ดี ฝันว่าฟันในปากของตนหักร่วงหมดปาก หล่นมาอยู่ในมือมีเลือดไหลเต็มปาก ซึ่งโบราณเชื่อกันว่าการที่ฝันว่าฟันหักนั้นถือว่าเป็นลางร้าย คนในครอบครัวหรือญาติ จะเสียชีวิต ตนจึงได้เตือนลูกๆ ว่าไปไหนมาไหนขับรถให้ระมัดระวัง แต่ไม่ได้เตือนหลานชาย โดยเมื่อเช้ามีเพื่อนบ้านมาบอกว่าหลานชายตกน้ำเสียชีวิต แต่ตนก็ไม่คิดว่าความฝันของตนจะเป็นจริง และมีเรื่องเกิดขึ้นกับหลานชาย ตนรู้สึกเสียใจมาก พ.ต.ท.ณัฐกานต์ วรรณพันธ์ เปิดจากการตรวจสอบที่เกิดเหตุไม่พบร่องรอยของการต่อสู้และบาดแผลตามร่างกาย ส่วนสาเหตุการเสียชีวิตคาดว่าผู้ตายขี่ รถจยย. มา แล้วเดินไปพลัดตกจากขอบสระน้ำแต่ไม่มีใครเห็นหรือช่วยได้ทัน เนื่องจากขอบสระน้ำมีลักษณะสูงชัน เสียชีวิตมาแล้วประมาณ 4-6 ชั่วโมง ทางญาติไม่ติดใจการเสียชีวิต เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงลงบันทึกไว้เป็นหลักฐาน แล้วมอบศพให้นำไปบำเพ็ญกุศลตามประเพณีต่อไป ขอขอบคุณ ข้อมูล : https://www.sanook.com/news/7967882/

ตื่นตาปรากฏการณ์ "น้ำหิว" แม่น้ำโขงเปลี่ยนสี เขียวอมฟ้าใสเหมือนท้องทะเล

ภาพแปลกตา เมื่อแม่น้ำโขงในพื้นที่ อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี ได้เปลี่ยนสีกลายเป็นสีเขียวอมฟ้าสดใสสวยงาม สะอาดตา สร้างความตื่นตาตื่นใจให้กับผู้พบเห็นเป็นอย่างมาก (29 พ.ย.62) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า แม่น้ำโขง อ.เขมราฐ จ.อุบลราชธานี เกิดปรากฏการณ์ แม่น้ำโขงเปลี่ยนสี เป็นสีเขียว น้ำใสมองเห็นผิวดินทราย เป็นความแปลก ที่ชาวบ้านในพื้นที่ไม่ค่อยมีโอกาสจะเห็นบ่อย สำหรับสาเหตุของการเปลี่ยนสีของแม่น้ำโขงครั้งนี้ชาวบ้านคาดว่าส่วนหนึ่งน่าจะมาจากการสร้างเขื่อนกั้นลำน้ำโขงของจีน จนทำให้น้ำโขงไหลนิ่งไม่เชี่ยวกรากเหมือนแต่ก่อน เมื่อเจอกับแสงแดดและท้องฟ้าจึงทำให้เกิดสีสันเหมือนน้ำทะเลขึ้นดังกล่าว ทั้งนี้เมื่อชาวบ้านทราบข่าวต่างก็เดินทางมาดู ถ่ายภาพ และได้เผยแพร่ออกไป โดยส่วนใหญ่ต่างไม่คาดคิดว่าเหตุการณ์ลักษณะนี้จะเกิดขึ้นกับแม่น้ำโขงได้ ซึ่งหลังจากที่มีการเผยแพร่ออกไป มีผู้ระบุว่า ปรากฏการณ์นี้คือ Hungry Water Effect : น้ำโขงหิวตะกอน น้ำห่างฝั่งใสเป็นสีฟ้าราวกับน้ำทะเล ส่วนน้ำใกล้ฝั่งจะเห็นว่าขุ่นกว่าอย่างชัดเจน เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่า "น้ำหิว" คือน้ำที่ถูกกักมาหลังเขื่อนและไหลช้าในฤดูนี้ตะกอนจะตกอยู่ในอ่างเก็บน้ำท้ายเขื่อนหมด น้ำที่ปล่อยออกมาจะเป็นน้ำใสที่ไม่มีตะกอน ขอขอบคุณ ข้อมูล : https://www.sanook.com/news/7967706/

เจอแล้ว "บิ๊กไบค์มรณะ" ชนวนเหตุฆ่าโหดครูผัวเมีย 2 ศพ คนร้ายเอาไปฝากขาย

จากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 28 พ.ย.ได้เกิดคดีคนร้ายบุกเข้าไปใช้อาวุธมีดแทง นายอโรชา หรือ ครูเอ็ม และ น.ส.ปรียาภรณ์ หรือ ครูแนน สองสามีภรรยาที่บ้านหลังหนึ่ง ต.ทับมา อ.เมือง จ.ระยอง เบื้องต้น ตำรวจได้ตั้งปมไว้ในหลายประเด็น ทั้งฆ่ากันเอง ฆ่าชิงทรัพย์ และฆ่าล้างหนี้ >> ครู 2 ผัวเมียถูกฆาตกรรมโหด เลือดสาดสยองทั่วบ้าน ข้อความปริศนาแปะหน้าประตู ล่าสุด วันนี้ (29 พ.ย.) ผู้สื่อข่าวรายงานว่า พล.ต.ต.ฉลอง สุขจันทร์ ผบก.ภ.จ.ระยอง กล่าวว่า ขณะนี้ทราบตัวคนร้ายแล้ว สาเหตุจูงใจที่คนร้ายลงมือสังหารโหด ก่อนเกิดเหตุผู้ตายนัดให้คนร้ายมาดูรถดูคาติ ราคา 6.5 แสนบาท ที่บ้าน เมื่อคนร้ายมาถึงทำทีเหมือนจะซื้อรถ แต่ก็ไม่ได้ซื้อแต่กลับฆ่าทั้งสองอย่างเหี้ยมโหด และชิงรถดูคาติออกไป ซึ่งกล้องวงจรปิดในหมู่บ้านจับภาพไว้ได้ จากการตรวจสอบกล้องวงจรปิดในหมู่บ้าน พบเห็นชายต้องสงสัยเดินวนเวียนในคืนวันเกิดเหตุ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีส่วนเกี่ยวข้องกับการตายของทั้งสอง หรือ อาจเป็นคนร้ายที่ลงมือ ส่วนกรณีการเข้าออกหมู่บ้าน ต้องมีบัตรเข้าออกหมู่บ้าน เนื่องจากทางหมู่บ้าน เข้มงวดในเรื่องของความปลอดภัย คาดว่าหลังจากคนร้ายก่อเหตุ คงจะเอาบัตรที่ใช้เปิดประตูอัตโนมัติด้านหลังหมู่บ้าน เพราะไม่มี รปภ.อยู่ ขี่รถดูคาติออกไป ซึ่งทางตำรวจได้นำภาพในกล้องวงจรปิดไปตรวจสอบและได้รวบรวมพยานหลักฐาน ก่อนจะออกหมายจับ นายศุภกิจ อายุ 22 ปี ชาวเชียงใหม่ ในข้อหาฆ่าโดยไตร่ตรองไว้ก่อน ซึ่งเชื่อมโยงกับการประกาศขายรถของผู้ตาย โดยคาดว่าผู้ต้องหารายนี้คงจะสบโอกาสเห็นประกาศขายในเฟซบุ๊ก จึงวางแผนเข้ามาเพื่อชิงรถ แต่อาจเกิดขัดขืนจึงลงมือฆาตกรรมอย่างโหดเหี้ยม ส่วนข้อความที่เขียนในกระดาษหน้าบ้านนั้น คาดว่า ผู้ต้องหาเมื่อเข้ามาแล้วเห็นผู้ตายทะเลาะกัน จึงสบโอกาสเมื่อฆ่าแล้วเขียนข้อความ อำพรางให้ตำรวจคิดว่าทั้งสองทะเลาะและฆ่ากันเอง ซึ่งตรงกับคำให้การของเพื่อนผู้ตาย และเพื่อนบ้านว่า ทั้งสองทะเลาะกันบ่อย แต่หลังจากทะเลาะกันแล้วสักพักก็คืนดีกันได้ เพราะทั้งสองนั้นรักกันมาก ซึ่งในช่วงเย็นที่ผ่านมา ตำรวจสามารถยึดรถจักรยานยนต์บิ๊กไบค์ได้แล้วที่จังหวัดชลบุรี หลังทราบว่า ผู้ต้องหานำไปฝากขาย จึงได้ประสานกับตำรวจภูธรภาคสอง หาเบาะแสคนร้าย ตลอดจนที่เชียงใหม่บ้านเกิดอีกด้วย ส่วนศพของผู้เสียชีวิตทั้งสอง เจ้าหน้าที่พิมพ์ลายนิ้วมือเรียบร้อยแล้ว จึงมอบให้ญาตินำกลับไปบำเพ็ญกุศล โดยฝ่ายชายนำกลับไปที่จังหวัดชัยนาท ส่วนฝ่ายหญิงนำกลับไปจังหวัดพะเยา >> เปิดปมสังหารครูสองผัวเมียดับสยองคาบ้าน คนร้ายฆ่าชิงรถดูคาติ 6.5 แสน ขอขอบคุณ ข้อมูล : https://www.sanook.com/news/7967894/

เคาะแล้ว! "กรมป่าไม้" แจ้งความ "ปารีณา" ข้อหาบุกรุกป่าสงวน วันจันทร์นี้

นายอรรถพล เจริญชันษา อธิบดีกรมป่าไม้ เปิดเผยหลังการประชุมคณะทำงานตรวจสอบข้อเท็จกรณีเขาสนฟาร์ม จ.ราชบุรี ของ น.ส.ปารีณา ไกรคุปต์ ส.ส.ราชบุรี พรรคพลังประชารัฐ ที่มีนายธวัชชัย ลัดกรูด ผู้ตรวจราชการกรมป่าไม้ เป็นประธาน ว่า กรมป่าไม้ได้ข้อยุติ จากการตรวจสอบพื้นที่และรังวัดที่ดินแล้วพบว่าน.ส.ปารีณา บุกรุกป่าสงวนแห่งชาติป่าฝั่งซ้ายแม่น้ำภาชี กว่า 40 ไร่ และบุกรุกป่าตาม พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 ทั้ง 2 พื้นที่รวมกันประมาณ 46 ไร่เศษ และจากการตรวจสอบไม่พบเอกสารที่ทางราชการออกให้เพื่อให้เข้าทำประโยชน์ในเขตพื้นที่ป่าไม้ตามระเบียบและกฎหมาย ถือว่ามีความผิดตาม พ.ร.บ.ป่าสงวนแห่งชาติ 2507 มาตรา 14 ในเขตป่าสงวนแห่งชาติห้ามมิให้บุคคลใดยึดถือครอบครอง ทำประโยชน์ หรืออยู่อาศัยในที่ดิน ก่อสร้าง แผ้วถางเผาป่า ทำไม้ เก็บหาของป่า หรือกระทำด้วยประการใดๆ อันเป็นการเสื่อมเสียแก่สภาพป่าสงวนแห่งชาติ และมีความผิดตามมาตรา 54 พ.ร.บ.ป่าไม้ 2484 ห้ามมิให้ผู้ใดแผ้วถางหรือเผาป่า หรือกระทำการใดๆ อันเป็นการทำลายป่าหรือเข้ายึดถือหรือครอบครองป่าเพื่อตนเองหรือผู้อื่น "โดยในวันจันทร์ ที่ 2 ธ.ค. เวลา 09.00 น. ตนจะแถลงรายละเอียดทั้งหมด จากนั้นจะมอบหมายให้เจ้าหน้าที่เข้าแจ้งความดำเนินคดี ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม (บก.ปทส.)" อธิบดีกรมป่าไม้ ระบุ ขอขอบคุณ ข้อมูล : https://www.sanook.com/news/7967934/

ครีมหน้าขาว ครีมเถื่อน รู้เท่าทันอันตราย อย่าใช้ ! ถ้าไม่อยากหน้าพัง

ครีมหน้าขาว อันตรายที่สาว ๆ ต้องระวัง ถ้าไม่อยากหน้าพัง ยิ่งเป็นครีมเถื่อนที่ผสมสารต้องห้าม ก็จะส่งผลร้ายต่อร่างกายกว่าที่คิด มาดูอันตรายจากครีมหน้าขาว พร้อมวิธีสังเกตครีมอันตรายกัน ในยุคที่กระแสความนิยมของการมีผิวขาวเพิ่มขึ้น ครีมหน้าขาวจัดเป็นสินค้ายอดฮิตที่มีวางขายตามท้องตลาดมากมาย อีกทั้งสาว ๆ ก็พร้อมจะลองใช้ เพราะในรีวิวมักเห็นผลไว หน้าขาวใสขึ้นจริง อย่างไรก็ตาม ภายในระยะเวลาไม่นาน ความขาวใสนี้จะถูกแทนที่ด้วยอาการข้างเคียง ทั้งรอยแดง รอยไหม้ดำ ผื่นแพ้ หน้าบาง หน้าลอก ซึ่งบางรายอาจต้องใช้เวลารักษานาน หรือบางรายอาจเป็นถาวรเลยก็ได้ เหมือนกับสาวรายนี้ (สาวเตือนภัย ใช้ครีมเถื่อนหวังสวยใส ผลที่ได้คือหน้าแหกยับ ผิวพังพินาศ) ทั้งนี้นอกจากจะหน้าพังแล้ว ยังส่งผลกระทบต่อหลายระบบของร่างกาย ไปจนถึงทารกในครรภ์ได้อีกด้วยนะ ! เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว อย่าปล่อยให้ตัวเองเป็นเหยื่อ มารู้เท่าทันอันตรายจากครีมหน้าขาว พร้อมเช็กวิธีสังเกตครีมอันตราย เพื่อที่จะเลือกซื้อครีมทาหน้าได้อย่างปลอดภัยกันดีกว่า อันตรายจากครีมหน้าขาว ครีมเถื่อน สารปรอทเพียบ ! จากการศึกษาของสถาบันโรคผิวหนัง กรมการแพทย์ ซึ่งตรวจสารอันตรายในเครื่องสำอางจากที่ผู้ป่วยส่งตรวจ และจากที่ได้จากการซื้อขายผ่านตลาดนัดและตลาดออนไลน์ ระหว่างปี 2561-2562 จำนวน 420 ตัวอย่าง พบว่าผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่เรียกว่า “ครีมหน้าขาว” มีสารอันตรายถึงร้อยละ 25 นั่นคือในครีมหน้าขาวทุก ๆ 4 ตลับจะพบสารอันตราย 1 ตลับเลยทีเดียว โดยสารปรอทเป็นสารอันตรายที่พบบ่อยที่สุด รองลงมาคือสารไฮโดรควิโนน และกรดวิตามินเอ สารอันตรายข้างต้นมีกลไกที่ช่วยให้ผิวขาวได้ แต่ก็ก่อให้เกิดผลข้างเคียงต่าง ๆ ดังนี้ 1. สารปรอท สารปรอทในครีมหน้าขาว มีกลไกยับยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนส ทำให้มีการสร้างเม็ดสีเมลานิน ลดลง จึงช่วยให้ผิวขาวขึ้น นอกจากนี้ปรอทยังมีฤทธิ์ฆ่าเชื้อแบคทีเรียบางชนิด จึงป้องกันสิวได้ด้วย ผลข้างเคียงจากการใช้ พิษต่อผิวหนัง : แม้ว่าสารปรอทจะมีผลทำให้เม็ดสีลดลง แต่พบว่าอาจทำให้เกิดอาการแพ้ ผื่นแดง ผิวหน้าดำ หากใช้ในระยะยาวจะทำให้ผิวบางลง เกิดจุดดำที่ผิวเพิ่มขึ้น เกิดฝ้าถาวร หรือในบางจุดจะทำให้เกิดผิวด่างถาวร พิษต่อระบบประสาท : ทำให้มีอาการสั่น ปลายประสาทอักเสบ การทรงตัวผิดปกติ ชักกระตุก ซึมเศร้าหรือเกิดประสาทหลอนได้ พิษต่อตับและไต : ทำให้เกิดภาวะตับอักเสบ และไตอักเสบได้ในระยะยาว พิษต่อระบบเลือด : ทำให้เกิดภาวะโลหิตจาง พิษต่อลูกน้อยในครรภ์ : หากใช้ระหว่างตั้งครรภ์ สารปรอทจะดูดซึมสู่ทารก และมีความเสี่ยงที่จะทำให้ทารกสมองพิการและปัญญาอ่อนได้ 2. ไฮโดรควิโนน (Hydroquinone) สารไฮโดรควิโนนออกฤทธิ์โดยการยับยั้งกระบวนการทางเคมีของเซลล์สร้างเม็ดสี เมื่อปริมาณเม็ดสีลดลง จึงส่งผลให้ผิวขาวขึ้นได้ จากกลไกนี้ทำให้ยาไฮโดรควิโนนถูกนำมาใช้เป็นยาทารักษาผิวที่เป็นฝ้า กระ และจุดด่างดำ ซึ่งอย. กำหนดให้ผสมสารไฮโดรควิโนนในการรักษาฝ้าได้ไม่เกิน 2% ผลข้างเคียงจากการใช้เกินขนาด พิษต่อผิวหนัง : มีอาการแสบร้อน ตุ่มแดง และภาวะผิวคล้ำมากขึ้นในบริเวณที่ทา หากใช้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานอาจทำให้เกิดเป็นฝ้าถาวรสีน้ำเงินอมดำได้ และเพิ่มโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งผิวหนัง พิษต่อระบบประสาท : ตัวยาจะดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดและสามารถกระตุ้นให้ร่างกายมีอาการสั่น หรือเกิดภาวะลมชัก หรือกระตุ้นให้เกิดอาการแพ้ยาได้ 3. กรดวิตามินเอ (Retinoic acid) กรดชนิดนี้มีผลรบกวนกระบวนการสร้างเม็ดสี กระตุ้นการแบ่งเซลล์ และเร่งการผลัดเซลล์ของผิวในชั้นเยื่อบุผิว ทั้งยังยั้บยั้งการทำงานของเอนไซม์ไทโรซิเนสที่ใช้สร้างเม็ดสีอีกด้วย นอกจากนี้ยังป้องกันการสร้างสิวอุดตัน ซึ่งเป็นสาเหตุของการเกิดสิว ผลข้างเคียงจากการใช้ พิษต่อผิวหนัง : ทำให้เกิดอาการระคายเคืองผิวหนัง ผิวหน้าลอก อักเสบ แพ้แสงแดดได้ง่าย อาจเกิดภาวะผิวด่างขาวหรือผิวคล้ำได้ชั่วคราว และอาจเป็นอันตรายต่อทารกในครรภ์ 4. สเตียรอยด์ (Steroid) มีฤทธิ์ยับยั้งการสร้างเม็ดสี ทำให้ผิวขาวขึ้น สเตียรอยด์เป็นสารที่ห้ามใส่ในเครื่องสำอาง มักใช้เป็นสูตรผสมกับยาตัวอื่น เช่น ไฮโดรควิโนน หรือ เรตินอยด์ในการรักษาฝ้า กระ และจุดด่างดำ ซึ่งสเตียรอยด์จะช่วยเสริมฤทธิ์และลดอาการข้างเคียงของไฮโดรควิโนน และเรตินอยด์ได้ดี ผลข้างเคียงจากการใช้ การใช้ยาทาเสตียรอยด์ในความเข้มข้นสูง หากใช้ผิดวิธีและใช้เป็นระยะเวลานานต่อเนื่องอาจก่อให้เกิดผลข้างเคียง เช่น ผดผื่นขึ้นง่าย ผิวหน้าบาง มลภาวะสารพิษจากภายนอกเข้าสู่ผิวหนังชั้นแท้ได้ง่ายขึ้น และเห็นเส้นเลือดแดงตามใบหน้าชัดขึ้น วิธีสังเกตครีมอันตราย 1. สังเกตฉลากเป็นลำดับแรก ฉลากที่ถูกต้องจะเป็นภาษาไทยมีข้อความบังคับครบถ้วน ได้แก่ ชื่อและประเภทผลิตภัณฑ์ ส่วนประกอบ วิธีใช้ ชื่อที่ตั้งแหล่งผลิต วันเดือนปีที่ผลิต และปริมาณสุทธิ ถ้าครีมหน้าขาวตัวไหนไม่มีรายละเอียดเหล่านี้ก็ควรหลักเลี่ยงเป็นดีที่สุด 2. เห็นผลไว แต่ราคาถูก หากเป็นของถูกและได้ผลทำให้หน้าขาวเร็ว ต้องเดาเอาไว้ก่อนว่าเป็นครีมอันตราย เพราะครีมผิวขาวหลาย ๆ ยี่ห้อได้นำเอาส่วนผสมจากสารเคมีและเนื้อครีมที่ดีไปผสมกับสารปรอท ไฮโดรควิโนน และสเตียรอยด์ เพื่อลดต้นทุนการผลิต เพราะส่วนผสม Whitening ที่มีคุณภาพอย่าง Alpha-arbutin มีราคาสูงมาก ทำให้ต้นทุนแพง 3. ลักษณะครีมเปลี่ยนแปลงไปหลังการเปิดใช้ ครีมกวนมือที่ผู้ผลิตจะซื้อครีมจากแหล่งต่าง ๆ แล้วนำมาผสมเอง โดยไม่ได้ควบคุมคุณภาพ สิ่งที่มักจะสังเกตเห็นได้ชัดคือเมื่อทิ้งไว้นานสัก 1 เดือน ครีมจะเปลี่ยนเป็นสีเทา มีลักษณะแยกน้ำแยกเนื้อ และบรรจุภัณฑ์ก็สีเปลี่ยนหรือผุกร่อนง่าย 4. คนขายให้ข้อมูลได้ไม่ละเอียด ลองถามคนขายด้วยคำถาม เช่น ใช้เองไหม ผลิตที่ไหน เก็บได้นานเท่าไร แล้วมาพิจารณาดูว่าน่าเชื่อถือ มีความโปร่งใส พร้อมให้ตรวจสอบหรือไม่ ที่สำคัญคือถ้าครีมหน้าขาวอันตราย คนขายก็จะไม่กล้าใช้ครีมนั้น ทำให้ตอบคำถามบางอย่างไม่ได้ 5. ทดสอบครีมบนแขน ทาครีมลงบนท้องแขน จากนั้นนำพลาสเตอร์มาปิดทับครีม แล้วเอาพลาสเตอร์อีกชิ้นแปะลงบนผิวในบริเวณใกล้เคียงกัน รอเวลาประมาณ 5 ชั่วโมง ลอกเอาพลาสเตอร์ออก สังเกตดูว่า หากตรงบริเวณที่ทาครีม ขาวซีดผิดปกติกว่าอีกอัน แสดงว่ามีการแอบใส่ส่วนผสมของปรอทลงไป 6. ใช้แล้วผิวไวต่อแสง หากใช้ผลิตภัณฑ์แล้วเกิดอาการผิวหนังไวต่อแสง ผิวบาง เจอแดดร้อน ๆ จะรู้สึกแสบบริเวณผิวหนัง เกิดผื่นแดง เกิดฝ้า มีอาการหัวใจเต้นเร็วผิดปกติ มีอาการวิงเวียงหน้ามืดบ่อยทั้งที่พักผ่อนเต็มที่ ก็ควรรีบตรวจเช็กและพบแพทย์โดยเร็ว หากสาวคนไหนไม่มั่นใจว่าครีมหน้าขาวที่ซื้อมาจะปลอดภัยหรือไม่ ก็สามารถส่งผลิตภัณฑ์ไปตรวจสอบสารอันตรายเบื้องต้นได้ที่ สถาบันโรคผิวหนัง (โครงการตรวจสารอันตรายในเครื่องสำอาง) 420/7 ถนนราชวิถี เขตราชเทวี กรุงเทพมหานคร 10400 โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย หรือเข้าไปสืบค้นรายชื่อครีมหน้าขาว ครีมเถื่อน เครื่องสำอางที่ผิดกฎหมายได้ที่ www.fda.moph.go.th เช็กให้แน่ใจก่อนใช้ครีมหน้าขาว เท่านี้สาว ๆ ก็ไม่ต้องเสี่ยงหน้าพัง พร้อมทั้งป้องกันตัวเองจากอันตรายของครีมเถื่อนเหล่านี้ได้แล้ว ข้อมูลจาก : med.mahidol.ac.th, thaihealth.or.th, สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา