โทรศัพท์รุ่นเก่าจะใช้งานไม่ได้ แบงก์ชาติยกมาตรฐานใหม่ "โมบายแบงก์กิ้ง"

แบงก์ชาติออกมาตรการป้องกันความปลอดภัยการใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง ขอความร่วมมือธนาคารพาณิชย์เริ่มใช้จริง 1 พ.ค. 63 โดยผู้ใช้งานโมบายแบงก์กิ้ง ต้องใช้ระบบปฏิบัติการ Android 4 ขึ้นไป ขณะที่ IOS ต้องสูงกว่า IOS 8 ส่วนโทรศัพท์มือถือเจลเบรกไม่สามารถใช้งานได้ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการถูกขโมยข้อมูล นางสิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายระบบการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า แนวนโยบายการรักษาความมั่นคงปลอดภัยของการให้บริการทางการเงินและการชำระเงินผ่านอุปกรณ์เคลื่อนที่ (mobile banking security) เพื่อหวังป้องกันความเสี่ยงจากภัยคุกคามทางไซเบอร์ และเพื่อสร้างความมั่งคงและปลอดภัยให้กับระบบสถาบันการเงินและประชาชนผู้ใช้บริการ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ใช้งาน 44 ล้านบัญชี ตามข้อมูล ณ เดือนธ.ค. และที่มียอดธุรกรรม mobile banking มากกว่า 2 พันล้านรายการในรอบ 1 ปีที่ผ่านมา แนวทางในการรักษาความปลอดภัยครั้งนี้ ธปท. จะร่วมมือกับธนาครพาณิชย์ยกมาตรฐานขั้นต่ำ สำหรับฝั่งธนาคารที่จะไม่อนุญาตให้ใช้งานอุปกรณ์ที่ไม่ปลอดภัยเข้าใช้งานการเข้ารหัสไฟล์ข้อมูล รวมถึงการจำกัดการเข้าถึงเซิร์ฟเวอร์ (server) และยังต้องสร้างความเข้าใจให้กับลูกค้าในเชิงลึก เนื่องจากจะมีผู้บริโภคบางรายได้รับผลกระทบจากมาตรการนี้ โดยมาตรฐานดังกล่าวสำหรับประชาชนที่มีเครื่องมือสื่อสารที่มีการเจลเบรก (jailbreak) หรือการปรับเปลี่ยนหรือดัดแปลงโปรแกรม และผู้ใช้โทรศัพท์ในระบบปฏิบัติการรุ่นเก่า ได้แก่ ผู้ที่ใช้ระบบปฏิบัติการไอโอเอสตั้งแต่รุ่น 8.0 ลงไป และผู้ที่ใช้ระบบปฏิบัติการแอนดรอยด์รุ่น 4 ลงไป อย่างไรก็ตาม ธปท. ย้ำว่า จำนวนผู้ใช้งานที่เข้าเงื่อนไขดังกล่าวไม่ได้มีจำนวนมากและยังอยู่ในหลักหมื่นต้นๆ เท่านั้น ขณะที่ แนวทางในการช่วยเหลือประชาชนที่จะได้รับผลกระทบในครั้งนี้ คือ ธปท. จะเร่งให้ธนาคารพาณิชย์ประชาสัมพันธ์ข้อมูลให้กับประชาชน และจะจำกัดการเข้าถึงการใช้งานเป็นขั้นบันได ไม่ได้ยกเลิกการเข้าถึงทั้งหมด แต่จะเข้าถึงหรือใช้งานได้บางประเภทเท่านั้น สำหรับเกณฑ์ดังกล่าว ธปท. จะเริ่มมีการทดลองใช้เป็นระยะเวลา 4 เดือน ตั้งแต่เดือน ม.ค. 2563 ไปจนถึงเดือน เม.ย. 2563 ก่อนจะเริ่มปรับใช้จริงในวันที่ 1 พ.ค. 2563 นอกจากนี้ ธปท. ยังกล่าวถึง กรณีการผลักดันให้ประชาชนปรับเปลี่ยนบัตรเดบิตและบัตรเอทีเอ็มจากรูปแบบบัตรแถบแม่เหล็ก (magnetic card) ให้เป็นบัตรชิปการ์ด (chip card) ตามมาตรฐานสากล เพื่อยกระดับความปลอดภัยในการใช้บัตรอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งปัจจุบันยังมีประชาชนที่ถือบัตรแบบเก่าอยู่อีก 12 ล้านใบ และกระจุกตัวอยู่ในกรุงเทพฯ มากที่สุด โดย ธปท. ย้ำให้ประชาชนมาเปลี่ยนบัตรที่ธนาคารพาณิชย์ผู้ออกบัตรภายใน 15 ม.ค. 2563 นี้ เพื่อประชาชนจะได้ไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียมในการเปลี่ยนบัตร ขอขอบคุณ ข้อมูล : https://www.sanook.com/news/7988466/

ไม่มีความคิดเห็น: