ปัญหาโลกแตก "หวยแพง" ปี 62 จะหมดไปมั้ย?

ปัญหาโลกแตก "หวยแพง" ปี 62 จะหมดไปมั้ย?
  • Share:
กว่า 4 ปีที่รัฐบาล คสช.งัดมาตรการแก้ปัญหาการขายสลากกินแบ่งรัฐบาลเกินราคา หรือปัญหา “หวยแพง” เพื่อหวังจะ “คืนความสุข” ให้ประชาชนคอหวยที่ต้องถูก “มัดมือชก” มานับทศวรรษนั้น
แม้คณะกรรมการ (บอร์ด) สลากกินแบ่งรัฐบาล จะระดมมาตรการ “แก้ลำ” หวยแพงสารพัดมาตรการ ทั้งจัดพิมพ์สลากเพิ่มจนจ่อจะ 100 ล้านฉบับอยู่รอมร่อ การยกเลิกการเป็นตัวแทนจำหน่าย สลายกลุ่ม “5 เสือนอนกิน” ไปจนถึงจับปรับดำเนินคดีขั้นเด็ดขาด และล่าสุดเตรียมจัดพิมพ์สลากรวมชุดเสียเอง!
แต่ถึงวันนี้ที่กำลังก้าวสู่ปีใหม่ 2562 ปัญหาการขายสลากเกินราคาดูไม่ได้ลดลงไปแม้แต่น้อย มิหนำซ้ำยังแพงหูดับตับไหม้หนักขึ้นไปอีก สลากรวมชุดของสำนักงานสลากกินแบ่งฯ ที่ตั้งใจใช้สยบปัญหาหวยแพงกลับกลายเป็นการส่งเสริมให้พ่อค้ารวมชุดได้ง่ายขึ้นไปอีก จากที่เคยรวมชุดกันได้แค่ 2-3 ชุด กลายเป็น 10-20 ชุด ง่ายขึ้นไปอีก!
“ทีมเศรษฐกิจ” ในฐานะที่ติดตามปัญหานี้มาอย่างใกล้ชิด ถือโอกาสที่กำลังย่างเข้าสู่ปีใหม่ 2562 นี้ คลี่มาตรการแก้ลำหวยแพงของสำนักงานสลากอีกครั้ง ด้วยหวังว่าปีเก่าที่กำลังจะผ่านไปนี้ ปัญหา “กลัดหนอง” ของประชาชนคนไทยและคอหวยคงจะเบาบางหรือหมดลงไปได้เสียที
**********

คลี่ “โรดแม็ป” แก้ลำหวยแพง!

การแก้ไขปัญหาสลาก “เกินราคา” ในระยะแรกของคณะกรรมการสลากกินแบ่งรัฐบาลนั้น เน้นหนักไปที่การแก้ไขที่การกำราบ “ผู้ค้าสลาก” และ “เอเย่นต์” เป็นหลัก
โดยเริ่มนับ 1 แก้ไขปัญหาสลากเกินราคาด้วยการ “เพิ่มส่วนลด” หรือกำไรจากการขายสลากจากเดิม 9% เป็น 12% ให้แก่บรรดาผู้ค้าหวยทั้งหลายเพื่อหวังจะให้ผู้ค้าอยู่ได้โดยไม่ต้องโก่งราคาขาย โดยผู้ค้าจะมีกำไรจาก 7.20 บาท เป็น 9.60 บาท/ฉบับ หากผู้ค้ามีสลากขายในมือ 1,000 ใบ จะมีกำไรเหนาะๆ 9,600 บาทต่องวด (15 วัน) หรือตกเดือนละ 19,200 บาท ซึ่งถือว่าพอเพียงจะเลี้ยงชีพอยู่ได้ไม่ว่าจะในส่วนผู้ค้าโดยทั่วไป หรือผู้ค้าสลากที่พิการ
แต่มาตรการดังกล่าวก็ “ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง” หาได้ทำให้ผู้ค้าขายในราคาที่กำหนดแต่อย่างใด!
ก่อนที่สำนักงานสลากฯจะเพิ่มมาตรการเข้มข้นในการควบคุมราคาขายปลีก เช่น กำหนดอัตราโทษรุนแรง หากขายสลากเกินราคาจะถูกจำคุกไม่เกิน 1 เดือน ปรับไม่เกิน 10,000 บาทหรือทั้งจำทั้งปรับ มีการจัดชุดปฏิบัติการพิเศษลงพื้นที่ตรวจสอบการขายสลากทั่วประเทศ มีการแถลงโชว์ผลการจับกุมผู้กระทำผิดขายสลากเกินราคาไปนับพันราย และยกเลิกสัญญาตัวแทนจำหน่ายสลากไปถึง 4,283 ราย ยกเลิกสิทธิ์จองซื้อสลากผ่านเครื่องเอทีเอ็มไปอีกกว่า 1,063 ราย พร้อมจัดตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนตลอด 24 ชั่วโมง


ในระยะแรกในเดือน ต.ค.60 มีประชาชนร้องเรียนเข้ามายังศูนย์เป็นจำนวนมากถึง1,105 ราย แต่หลังจากนั้นก็ลดลงจนแทบหายเข้ากลีบเมฆ!
นอกจากนี้ ภายใต้แผน “โรดแม็ป” ระยะที่ 1 บอร์ดสำนักงานสลากฯยังได้ยกเลิกรางวัล “แจ็กพอต” ซึ่งถือเป็นต้นตอที่ทำให้ประชาชนหาซื้อเลขชุดหวังจะเป็นเศรษฐีร้อยล้านในพริบตา ทั้งยังปรับเปลี่ยนรางวัลเลขท้าย 3 ตัว มาเป็นรางวัลเลขหน้า 3 ตัว 2 รางวัล เลขท้าย 3 ตัวหลัง 2 รางวัล เพื่อหวังลดการรวมหวยชุดที่ยึดเอาเลขท้ายเป็นหลัก
แต่กระนั้นปัญหาการจำหน่ายสลากเกินราคาก็ยังไม่ลดลง ทำให้บอร์ดสลากต้องตัดสินใจประกาศยกเลิกโควตาสลากของ “5 เสือกองสลาก” และบริษัทนิติบุคคลที่เป็น “ยี่ปั๊ว” อีกกว่าหมื่นราย ที่นัยว่าเป็นต้นตอของการรวมเลขชุดตามที่ผู้ค้าสลากรายย่อยมักอ้างถึง แต่กระนั้นก็หาได้ทำให้ปัญหากลัดหนองดังกล่าวคลี่คลายลงไป!

เฟส 2 ขายสลากผ่านตู้ ATM

การแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาในระยะที่ 2 ที่บอร์ดสลากดำเนินการไปก็คือ การปรับแผนจำหน่ายสลากจากเดิมที่ขายผ่าน “เอเย่นต์” และระบบ “โควตา” เปลี่ยนมาเป็นการขายสลากผ่านระบบออนไลน์ผ่านตู้ ATM โดยมีธนาคารกรุงไทยทำหน้าที่เป็นผู้รับออเดอร์ และเครือข่ายกระจายสลากซึ่งจะทำให้ผู้ค้าสามารถซื้อสลากได้ในราคาต้นทุน 70.40 บาท/ใบ
ขณะเดียวกัน สำนักงานสลากฯได้ขออนุมัติเพิ่มการพิมพ์สลากขึ้นไปสูงสุดไม่เกิน 100 ล้านใบต่องวด โดยอ้างว่าเพื่อสร้าง “สมดุล” ระหว่างผู้ซื้อและผู้ค้า โดยในช่วงที่สลากราคาตก เช่น ใกล้เปิดเทอมหรือช่วงฤดูฝน สำนักงานสลากฯจะจัดพิมพ์สลากไม่เกิน 80 ล้านใบ แต่ในช่วงเทศกาลปีใหม่หรือตรุษจีนที่มีความต้องการมากจะเพิ่มปริมาณการพิมพ์สลากขึ้นมาให้เพียงพอต่อความต้องการ


ปัจจุบันสำนักงานสลากฯพิมพ์สลากออกมาจำหน่ายสูงถึง 90 ล้านใบ/งวดเข้าไปแล้ว!
แต่กระนั้นการแก้ไขปัญหาสลากเกินราคาก็ยังคงไม่คลี่คลายลงไป สลากที่พิมพ์เพิ่มเข้าไปกลายเป็นช่องให้พ่อค้าสามารถ “รวมหวยชุดใหญ่” ในระดับ 15 ใบ 90 ล้าน หรือ 22 ชุด 132 ล้านบาทก็มีมาแล้ว
ยิ่งเมื่อมีผู้ถูกรางวัลชุดใหญ่ 5 ชุด 30 ล้าน หรือ 15 ชุด 90 ล้าน ก็ยิ่งสร้างความฮือฮาที่ทำให้ผู้ค้าแห่ตามความต้องการซื้อ “หวยชุดใหญ่” มากขึ้นมาตามลำดับ บรรดามาตรการสยบ ปัญหาหวยแพงที่สำนักงานสลากฯขนออกมาเป็นกุรุดกลับไม่สามารถจะสกัดกั้นและสยบปัญหาดังกล่าวลงไปได้
แม้ก่อนหน้านี้ฝ่ายบริหารของสำนักงานสลากฯจะนำเสนอไอเดียใหม่ๆ ในการแก้ไขปัญหาโลกแตกนี้ ด้วยการเสนอรวมสลากเลขชุด 5 ใบขายในราคา 400 บาทเอง เพื่อแข่งกับสลากชุด 3 ใบของผู้ค้าสลากรายย่อย แต่ก็ยังไม่ได้รับการขานรับหรือตอบรับใดๆจากบอร์ดสลาก เพราะเกรงว่าจะยิ่ง “เข้าทางตีน” ผู้ค้าสลากรายย่อยให้เพิ่มโอกาสรวมสลากเลขชุดมากขึ้นไปอีกหรือไม่ก็ฉวยโอกาสขายในราคา 500-600 บาทไปอีกกลายเป็นรายการ “โยนอ้อยเข้าปากช้าง” ไปเสียอีก!
“หวยชุด” กลายเป็นของ “แสลง” ของสำนักงานสลากฯหนักเข้าไปอีก
ทำให้ล่าสุดบอร์ดสลากต้องตัดสินใจปรับ “โรดแม็ป” ระยะที่ 2 และ 3 ใหม่เพื่อพัฒนาระบบจองซื้อให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และคัดกรองผู้ขายจริง รวมทั้งตัดสิทธิ์ผู้ค้าที่ขายสลากเกินราคา พร้อมเตรียมยกร่างพระราชบัญญัติสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล พ.ศ.2517 เพื่อกรุยทางไปสู่การจำหน่าย “สลากออนไลน์”


จาก 5 เสือสู่ “รายย่อยออนไลน์”

หากสำรวจตลาดสลากกินแบ่งวันนี้ กล่าวได้ว่าแม้ยังคงมีสลากราคาใบละ 80 บาทวางขายอยู่บนแผง แต่มีสัดส่วนไม่ถึง 30% เท่านั้น ที่เหลือ 70% นั้นถูกแปรสภาพเป็นสลากเลขชุดไล่ไปตั้งแต่ชุดเล็ก 2 ใบ 3, 5 ใบ ไปจนถึงชุดใหญ่ 10-15 และ 22 ใบสูงสุดที่ขายกันสูงถึงชุดละ 3,300 บาท หรือตกใบละ 150 บาท
ขณะที่มาตรการแก้ปัญหาสลากเกินราคาที่บอร์ดสลากดำเนินการไปก่อนหน้า และที่ใช้อยู่ในปัจจุบันนั้นกล่าวได้ว่า ยัง “เกาไม่ถูกที่คัน” มาตรการจัดการกับปัญหาโลกแตกที่ไล่จากเบาไปหาหนัก จากตักเตือน จับ ปรับและตัดโควตานั้น ไม่ได้ทำให้ปัญหาการขายสลากเกินราคาเบาบางลงแต่อย่างใด
ส่วนหนึ่งที่ทำให้การแก้ไขปัญหาของกองสลากหลงทางไปนั้น ก็เพราะโลกโซเชียลมีเดียในยุค 4.0 ที่มีการสร้างสังคมโซเชียล กลุ่มไลน์ เฟซบุ๊กนั้น ได้สร้างเสือตัวเล็กขึ้นมานับหมื่นๆตัว กลายเป็นกลุ่มผลประโยชน์ใหม่ที่สามารถรวมสลากเลขชุด 3-5 ใบได้อย่าง “บริดวก” และบางครั้งหากเป็นไลน์กลุ่มใหญ่ก็สามารถรวบสลากเลขชุดไปได้ถึง 10-15 หรือ 20 ใบเลยทีเดียว
โดยคาดว่ามีกลุ่มคนที่หากินอยู่กับการซื้อ-ขายสลากเลขชุดในแต่ละงวดไม่น้อยกว่า 200,000 คน กระจัดกระจายอยู่ทั่วประเทศจึงทำให้สำนักงานสลากฯไม่กล้างัดไม้ตาย เปิด “สลากเลขท้าย 3 ตัวและ 2 ตัว”หรือ “ลอตโต้” ได้ เพราะกลัวว่าผู้ค้าสลากกว่า 200,000 คนจะลุกฮือจนกลายเป็นประเด็นร้อนทางการเมืองขึ้นมา
สำนักงานสลากฯจึงได้แต่หลอกตัวเองมาตลอดว่าแก้ไขปัญหามาถูกทาง เพราะอย่างน้อยยังคงมีสลากราคา 80 บาทอยู่ในท้องตลาด


บทสรุปมาตรการ “แก้ลำหวยแพง” ที่ดำเนินการไปจึงเป็นเพียงการใช้ “ไม้นวม” ไม่ได้จัดการกับผู้ค้าสลากเกินราคาให้เบ็ดเสร็จเด็ดขาด เป็นแค่การ “ซื้อเวลา” ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของรัฐบาลใหม่จัดการอันเป็นวิธีการเดิมๆที่นักการเมืองใช้มานับแต่อดีต!
**********
เหนือสิ่งอื่นใด ตราบใดที่สำนักงานและบอร์ดสลากยังคงสาละวันอยู่แต่กับการแก้ไขปัญหาแบบเดิม โดยไม่กล้า “หักดิบ” แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุ เฉกเช่นที่รัฐบาลในอดีตเคยงัดหวยบนดิน 3 ตัวและ 2 ตัวมาขจัดหวยใต้ดินและแก้ไขปัญหาการขายสลากเกินราคาไปในตัว
ก็เห็นทีปัญหาการขายสลากเกินราคาจะยังคงเป็นปัญหากลัดหนองของคนไทยไปตลอดศก!!!


ขอบคุณที่มา  https://www.thairath.co.th/content/1456201

ไม่มีความคิดเห็น: